ใน 2 คำถามนี้ คุณเห็นอะไรที่เหมือนกันบ้าง ระหว่าง กองทุนนี้ ผลตอบแทน 1 ปีเท่าไร และ ETF กองนี้ ทำผลตอบแทนชนะดัชนีอ้างอิงหรือไม่
คำตอบ คือ ผลตอบแทนนั่นเอง…
เพราะการคำนวณผลตอบแทนเป็นเรื่องสำคัญในโลกการลงทุน ทำให้คุณสามารถติดตามผลการดำเนินงานที่สินทรัพย์นั้นทำได้ และเอาไปเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้
อย่างไรก็ตามการคำนวณผลตอบแทนมีวิธีการหลากหลายรูปแบบ คุณคงเกิดความสงสัยว่า ควรจะใช้วิธีการคำนวณผลตอบแทนแบบใด ถึงจะเหมาะสมกับสินทรัพย์ที่ลงทุนอยู่ และใกล้เคียงกับภาวะการลงทุนมากที่สุด
หากใช้วิธีการคำนวณผลตอบแทนคนละรูปแบบ ตัวเลขที่ออกมามีโอกาสสูงมากที่จะไม่เท่ากัน โดยวิธีการคำนวณผลตอบแทนยอดนิยมมีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่
สำหรับผลตอบแทนที่ Jitta Wealth ใช้ส่งรายงานประจำเดือนให้คุณ รวมไปถึงผลตอบแทนที่ขึ้นอยู่ในแอปพลิเคชัน จะใช้รูปแบบ Time-weighted Return (TWR) ซึ่งอาจจะเป็นวิธีการวัดผลตอบแทนที่คุณยังไม่คุ้นชิน
ทีมงาน Jitta Wealth จะมาอธิบายวิธีคำนวณผลตอบแทนแต่ละรูปแบบ รวมไปถึงข้อดีและข้อเสีย ของการวัดผลตอบแทนแต่ละวิธี เพื่อให้คุณเข้าใจถึงวิธีการคำนวณต่างๆ ผ่านบทความนี้
การคำนวณผลตอบแทนที่ Jitta Wealth ใช้เป็นหลัก คือ Time-weighted Return (TWR)
TWR เป็นวิธีการวัดผลตอบแทนในแต่ละช่วงเวลา โดยแบ่งช่วงเวลาจากเงินลงทุนปลายงวดกับเงินลงทุนต้นงวดทุกครั้งเมื่อมีกระแสเงินสดไหลเข้าหรือออกจากพอร์ต จากนั้นนำผลตอบแทนที่หาได้ในแต่ละช่วงที่มาคูณทบต้นกันเพื่อให้ได้ผลตอบแทนรวมในช่วงเวลาที่ต้องการทราบ เช่น 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี ซึ่งเมื่อคำนวณในลักษณะนี้ กระแสเงินสดที่ไหลเข้าหรือออกจากพอร์ตลงทุนระหว่างช่วงที่วัดผลตอบแทนจะไม่บิดเบือนผลตอบแทนที่สินทรัพย์นั้นทำได้จริง
หลักการคิดแบบ TWR เป็นวิธีคำนวณผลตอบแทนที่เป็นมาตรฐานของบริษัทจัดการลงทุนทั่วโลก เพราะเป็นการวัดความสามารถของผู้จัดการกองทุน โดยที่กระแสเงินสดที่ไหลเข้าหรือออกจากพอร์ตที่คุณเป็นคนบริหารจัดการจะไม่มีผลต่อการคำนวณ ทำให้คุณในฐานะนักลงทุนจะรู้ผลตอบแทนได้อย่างแม่นยำ
อีกชื่อของ TWR คือ ผลตอบแทนเฉลี่ยเรขาคณิต หรือ Geometric Average Return
นี่คือตัวอย่างการคำนวณผลตอบแทนแบบ TWR โดยมีโจทย์ว่า นายจิตตะ มั่งคั่ง เริ่มต้นลงทุนตอนต้นปี 2565 ด้วยเงิน 100,000 บาท ระหว่างปีนายจิตตะเพิ่มเงินลงทุน 2 ครั้ง ครั้งละ 50,000 บาท สิ้นปี 2565 นายจิตตะพบว่า มูลค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 250,000 บาท
จากโจทย์ เราจะแบ่งงวดคำนวณผลตอบแทน โดยตัดจากรอบที่มีการเพิ่มทุนหรือถอนทุน ดังนี้
หากคุณดูที่วิธีการคำนวณแต่ละงวด จะเห็นว่า
จากนั้น เราจะนำผลตอบแทนที่ทำได้แต่ละงวดมาคูณทบต้นกัน เพื่อหาผลตอบแทนของทั้งปี 2565 (ผลตอบแทน 1 ปี) ตามสมการนี้ โดยให้ R คือ ผลตอบแทน Time-weighted Return
R = [(1+0.10) x (1+0.05) x (1+0.15)] – 1
R = 0.3245 x 100
R = 32.45%
ดังนั้น ผลตอบแทนจากการคำนวณ Time-weighted Return ในโจทย์นี้ คือ +32.45% นั่นเอง
คุณจะเห็นได้ว่า การคำนวณผลตอบแทนแบบ TWR จะไม่ถูกกระทบจากการเพิ่มหรือถอนเงินจากพอร์ตลงทุน เพราะมีการตัดรอบคำนวณผลตอบแทน ก่อนรวมเงินลงทุนเพิ่มหรือลดทุกครั้ง ทำให้ผลตอบแทนที่คุณเห็นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการลงทุนจริงที่สินทรัพย์นั้นทำได้ หรือผู้จัดการกองทุนทำได้ และสามารถนำไปใช้เปรียบเทียบกับผลตอบแทนของกองทุนอื่นๆ ได้เช่นกัน
สำหรับข้อดีและข้อเสียของวิธีการคำนวณผลตอบแทนแบบ Time-weighted Return คือ
ข้อดี
ข้อเสีย
ด้วยหลักการและวิธีการคำนวณนี้ Jitta Wealth จึงเลือกผลตอบแทนแบบ TWR เพื่อคุณจะได้เห็นความสามารถในการบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลกนั่นเอง
คุณได้ทำความรู้จักกับ Time-weighted Return ที่ Jitta Wealth ใช้ในการคำนวณผลตอบแทนไปแล้ว เราจะขอยกตัวอย่างวิธีการคำนวณผลตอบแทนแบบอื่นๆ ให้คุณได้ทำความเข้าใจ และรู้ว่า วิธีคำนวณอะไรเหมาะสมกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทไหนบ้าง
มีอีก 2 รูปแบบการคำนวณผลตอบแทน ได้แก่ Simple Return และ Money-weighted Return
วิธีนี้คำนวณโดยการนำเงินลงทุน ณ วันที่ต้องการคำนวณผลตอบแทน มาหักออกด้วยต้นทุนรวม ตัวเลขที่ได้ คือ ส่วนต่างราคา (Capital Gain) เพื่อหาผลกำไรหรือขาดทุน จากนั้นหารด้วยต้นทุนรวม
การคำนวณผลตอบแทนรูปแบบนี้ คุณจะคุ้นเคยมากที่สุด นิยมใช้ในการคำนวณผลตอบแทนในรูปส่วนต่างราคาของ กองทุนรวม หุ้น และตราสารอนุพันธ์ รวมไปถึงส่วนต่างราคาของสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ อย่าง อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ และเครื่องเพชร ก็มักใช้วิธีนี้ในการหาผลตอบแทนเช่นกัน
โดยเราทำโจทย์ง่ายๆ Simple Return กรณีไม่มีการเพิ่มหรือถอนเงินลงทุน คือ นายจิตตะ มั่งคั่ง เริ่มต้นลงทุนต้นปี 2565 ด้วยเงิน 100,000 บาท สิ้นปี 2565 นายจิตตะพบว่า มูลค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 120,000 บาท โดยที่นายจิตตะไม่มีการเพิ่มหรือถอนเงินเข้าพอร์ตลงทุนระหว่างปี
คำนวณแล้ว ผลตอบแทนที่ออกมา คือ 20% นั่นเอง
อีกโจทย์ คือ นายจิตตะ มั่งคั่ง เริ่มต้นลงทุนต้นปี 2565 ด้วยเงิน 100,000 บาท ระหว่างปีนายจิตตะเพิ่มเงินลงทุน 2 ครั้ง ครั้งละ 50,000 บาท สิ้นปี 2565 นายจิตตะพบว่า มูลค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 250,000 บาท
ถึงจะมีการเพิ่มทุนระหว่างปี แต่ Simple Return จะคำนวณเงินลงทุนทุกมูลค่ารวมเป็นก้อนเดียว เหมือนเป็นการลงทุนในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งๆ ที่เงินลงทุนแต่ละก้อนมีระยะเวลาการลงทุนที่ไม่เท่ากัน
ดังนั้นผลตอบแทนที่ออกมา คือ 25% นั่นเอง
อย่างไรก็ตามการคำนวณ Simple Return มีข้อดีและข้อเสีย คือ
ข้อดี
ข้อเสีย
ด้วยเหตุนี้ วิธี Simple Return จึงไม่เหมาะที่จะใช้เป็นมาตรฐานในการคำนวณหาผลตอบแทนในสินทรัพย์อย่างกองทุน แต่จะใช้ในการคำนวณหาผลตอบแทนอย่างง่ายๆ มากกว่า เพราะมีโอกาสที่ผลตอบแทนจะผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง หากมีการเพิ่มหรือถอนเงินลงทุนระหว่างปี
วิธีคำนวณในรูปแบบ Money-weighted Return (MWR) จะช่วยลบจุดอ่อนของการคำนวณผลตอบแทนด้วยวิธี Simple Return ที่เหมารวมต้นทุนได้ โดยใช้วิธีคำนวณเงินลงทุนที่ถูกเพิ่มหรือถอนแยกก้อนกัน ซึ่งสามารถคำนวณได้ตามนี้
MWR จะเหมือนกับการคำนวณหา Internal Rate of Return (IRR) ที่องค์กรต่างๆ นิยมใช้ในการประเมินผลตอบแทน และความเป็นไปได้ของการลงทุนโครงการต่างๆ
เรายังใช้โจทย์เดิม คือ นายจิตตะ มั่งคั่ง เริ่มต้นลงทุนต้นปี 2565 ด้วยเงิน 100,000 บาท ระหว่างปีนายจิตตะเพิ่มเงินลงทุน 2 ครั้ง ครั้งละ 50,000 บาท สิ้นปี 2565 นายจิตตะพบว่า มูลค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 250,000 บาท
สมมติให้เงินลงทุนเพิ่มทั้ง 2 ครั้งมีระยะห่างของช่วงเวลาเท่าๆ กัน เพื่อให้ง่ายต่อการคำนวณผลตอบแทน โดย 1+R และมีเลขยกกำลังกำกับ คือ ครั้งที่เกิดกระแสเงินสดเข้าพอร์ต
เมื่อนำมาใส่ในสมการ เงินลงทุนเริ่มต้น 100,000 บาทและเงินเพิ่มทุน 50,000 บาทจะถูกแทนด้วยค่าลบเนื่องจากเป็นเงินเพิ่มทุน ส่วนเงินลงทุนปลายงวด 250,000 บาทจะถูกแทนด้วยค่าบวก
ผลรวมของกระแสเงินสดตอนที่ไม่มีการลงทุนจะมีค่าเท่ากับ 0 ส่วนผลรวมของมูลค่าคิดลดกระแสเงินสดทั้งหมดในอนาคต มูลค่ากำไรหรือขาดทุนสุทธินั่นเอง
แต่สูตรนี้ต้องใช้เว็บไซต์ ซอฟต์แวร์ หรือเครื่องคิดเลขการเงินมาช่วยคำนวณ เพราะซับซ้อนมาก ดังนั้น ผลตอบแทน Money-weighted Return ที่ได้ คือ +10.27%
อย่างไรก็ตาม การคำนวณ MWR จะมีตัวแปรอื่นๆ เข้ามารบกวน เช่น ช่วงเวลาการเพิ่มหรือถอนเงินลงทุนไม่เท่ากัน ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนที่คำนวณได้ ไม่เที่ยงตรงและผิดเพี้ยนไป
นั่นคือ เหตุผลที่ทำให้วิธีการคำนวณแบบ MWR ไม่ถูกเลือกใช้เป็นวิธีมาตรฐานในการคำนวณผลตอบแทนของบริษัทจัดการลงทุนทั่วโลก เพราะไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของผู้จัดการกองทุน ดัชนีอ้างอิง และกองทุนอื่นๆ ได้
สถานการณ์ที่เหมาะสมสำหรับวิธีการคำนวณแบบ MWR คือ กรณีที่คุณเป็นคนบริหารพอร์ตลงทุนด้วยตัวเอง เพิ่มหรือถอนเงินลงทุน รวมทั้งเลือกสินทรัพย์ลงทุนเอง สรุปแล้ววิธีการคำนวณแบบ MWR จะเหมาะกับการใช้ติดตามแผนลงทุนที่คุณจัดการเอง เทียบกับเป้าหมายที่คุณตั้งไว้
สำหรับข้อดีและข้อเสียของวิธีการคำนวณแบบ Money-Weighted Return คือ
ข้อดี
ข้อเสีย
นี่คือ วิธีการวัดผลตอบแทนทั้ง 3 รูปแบบที่ทีมงาน Jitta Wealth สรุปอย่างง่ายๆ มาให้คุณทำความเข้าใจ และเหตุผลที่เราใช้การรายงานผลตอบแทนแบบ Time-weighted Return เราเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสีย เพื่อให้คุณเข้าใจความแตกต่างของวิธีคำนวณด้วย
หากคุณยังมีข้อสงสัยในเรื่องอื่นๆ สามารถสอบถามเข้ามาได้ที่ Facebook: Jitta Wealth และ Line ID: @JittaWealth หรือสนใจจะลงทุนนโยบายต่างๆ ของ Jitta Wealth ด้วยวิธีการคำนวณผลตอบแทนตามมาตรฐานโลก สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
กองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth บริหารจัดการโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด ซึ่งเป็นสตาร์ตอัป WealthTech สัญชาติไทย รายแรกที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง กำกับโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ใบอนุญาตเลขที่ ลค-0105-01
ผลตอบแทนในอดีต ไม่สามารถการันตีผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจนโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนต่างประเทศอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
บันทึกพอร์ต Jitta Ranking ของหนูไอวี่ อายุ 5 ขวบ
CEO ของ Jitta Wealth เผยเคล็ดลับปรับพอร์ตรับมือภาวะตลาดหมี
ปรับ ‘กลยุทธ์ลงทุน’ รับมือสงครามยืดเยื้อ