สงครามยังไม่จบ…อย่าเพิ่งนับศพทหาร
วลีนี้ยังใช้ได้กับการห้ำหั่นกันของ 2 ประเทศ รัสเซียและยูเครน ที่ยืดเยื้อมานานเกือบ 2 เดือน และไม่มีทางรู้เลยว่า บทสรุปจะไปทางไหน จบลงด้วยดีหรือไม่
ทุกครั้งที่เกิดสงคราม ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในวงจำกัดหรือลามไปทั่วโลก ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความกังวลของนักลงทุนทั่วโลกในช่วงเวลาสงครามมีมากกว่าช่วงเวลาปกติ และแน่นอนว่า ตลาดหุ้นจะผันผวนมากกว่าเดิม เพราะถูกขับเคลื่อนด้วยอคติและอารมณ์จากความไม่แน่นอนต่างๆ ยิ่งสงครามทวีความรุนแรงมากขึ้น สร้างความเสียหายที่เป็นมูลค่ามหาศาล กลายเป็นวิกฤตที่รุนแรงมากขึ้นไปอีก
แล้วในฐานะนักลงทุน…คุณจะรับมืออย่างไร ปรับ ‘กลยุทธ์ลงทุน’ ไปทางไหน เมื่อสงครามยืดเยื้อ และหากจะลงทุนช่วงเวลาที่เกิดสงคราม…ช่วงไหนดีที่สุด
บทความนี้ ทีมงาน Jitta Wealth ได้รวบรวมสถิติการลงทุนในช่วงเวลาต่างๆ ที่เกิดสงคราม หากคุณอยากรู้ว่า ตลาดหุ้นเป็นอย่างไร คุณควรเข้าลงทุนตอนไหน กลยุทธ์แบบไหนดีที่สุด ท่ามความความไม่แน่นอนและเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ มาหาคำตอบได้เลย
เมื่อเกิดสงคราม ‘กลยุทธ์ลงทุน’ เหมือนกับช่วงเวลาปกติหรือไม่ หากคุณต้องการสร้างผลตอบแทนให้ได้มากที่สุด
ทีมงาน Jitta Wealth รวบรวมสถิติย้อนหลังมาเป็นกรณีศึกษา โดยใช้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีจากการลงทุนในช่วงเวลาต่างๆ ที่เกิดสงคราม ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยจะพาคุณย้อนเวลากลับไป 100 กว่าปี ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ปี 2457
ส่วนช่วงเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดสงครามจะอ้างอิงข้อมูลจากสารานุกรม Britannica ซึ่งรวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่มีอายุยาวนานมากกว่า 2 ศตวรรษ
ดัชนีตลาดหุ้นที่ใช้เป็นกรณีศึกษา คือ ดัชนี S&P Composite ที่มีการคำนวณย้อนหลังยาวนานตั้งแต่ปี 2414 กว่าจะมาเป็นดัชนี S&P500 ยอดนิยมในปัจจุบัน มีที่มาที่ไป ดังนี้
ทีมงาน Jitta Wealth จำลองสไตล์การลงทุน 4 รูปแบบ โดยเลือกจังหวะการลงทุนที่แตกต่างออกไป ได้แก่ ลงทุนครั้งเดียวในช่วงสงครามเริ่มต้น กลางสงคราม และสงครามสิ้นสุด กับลงทุนแบบ DCA (Dollar Cost Averaging) แต่ทุกๆ รูปแบบจะถือไว้จนครบ 10 ปีหลังสงครามสิ้นสุด ซึ่งจะเป็นการลงทุนระยะยาว สะท้อนความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในทุกช่วงเวลา รวมไปถึงผลพวงหลังสงครามสิ้นสุด โดยจะเปรียบเทียบจากผลตอบแทนเฉลี่ยของแต่ละพอร์ต อย่างไรก็ตาม ทีมงานไม่ได้ใช้ข้อมูลราคาของกองทุนดัชนี จึงไม่รวมผลตอบแทนจากเงินปันผลและการคิดค่าธรรมเนียมต่างๆ เนื่องจากกองทุนดัชนีกองแรกของโลก คือ Vanguard 500 Fund เพิ่งถูกตั้งขึ้นปลายเดือนสิงหาคม 2519 จึงไม่ครอบคลุมช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเวียดนาม
คุณจะเห็นว่า การลงทุนในเดือนที่สงครามเริ่มต้น และถือต่อไปอีก 10 ปีหลังสงครามจบจะสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงที่สุด จาก 4 ใน 6 สงคราม นั่นเป็นเพราะว่า ต้นทุนการลงทุนในช่วงเริ่มต้นสงครามยังไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับต้นทุนในช่วงสงครามสิ้นสุด จึงทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงกว่า
ขณะเดียวกัน หากลงทุนในช่วงสงครามสิ้นสุด คุณจะเห็นว่า จากสงครามใหญ่ 6 ครั้ง ไม่มีครั้งไหนที่ทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงที่สุดเลย เนื่องจากดัชนีตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นไปแล้ว จากการรับรู้ผลกระทบจากสงครามต่างๆ ต้นทุนการลงทุนจึงสูงตามไปด้วย
นอกจากนี้ยังมีข้อค้นพบอื่นๆ ซึ่งเป็นเกร็ดน่ารู้ของ ‘กลยุทธ์ลงทุน’ ในช่วงสงคราม มีเหตุการณ์ที่น่าสนใจ ดังนี้
ทีมงาน Jitta Wealth จึงค้นพบว่า จริงๆ แล้วตลาดหุ้นไม่ได้กลัวสงคราม แต่กลัวความไม่แน่นอนระหว่างที่เกิดสงคราม นี่คือสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกมีอารมณ์และอคติต่อการตลาดหุ้นมากกว่าช่วงที่ไม่มีสงคราม
จากกราฟไทม์ไลน์การเคลื่อนไหวดัชนี S&P Composite (ก่อนจะเปลี่ยนเป็นดัชนี S&P500) ในช่วงนานกว่า 1 ศตวรรษ ครอบคลุมสงครามใหญ่ 6 ครั้ง คุณจะเห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหลังสงครามอ่าวเปอร์เซีย หลายๆ ครั้งที่เกิดสงคราม ตลาดหุ้นมักปรับตัวลงหลังจากช่วงเริ่มต้นสงครามไปแล้ว
แต่เมื่อสงครามดำเนินไปสักระยะ จนนักลงทุนสามารถประเมินสถานการณ์ได้ รับรู้ผลกระทบไปแล้ว จึงบรรเทาความวิตกกังวลลง ตลาดหุ้นจะปรับตัวเป็นขาขึ้น เป็น V-shape อย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นไปจนสิ้นสุดสงคราม
เมื่อประกอบกับการจำลองสไตล์การลงทุน 4 รูปแบบ และผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง จุดที่น่าสนใจมีดังนี้
คุณจะรู้ได้อย่างไร ว่าจุดเริ่มต้นของสงครามคือตอนไหน นี่ถึงจุดต่ำสุดของดัชนีหรือยัง แล้วสงครามจะจบเมื่อไร
คำตอบชัดๆ คือ ไม่มีใครรู้ หรือคาดการณ์ได้เลย กูรูอาจจะประเมินได้ว่า ความขัดแย้งนี้อาจจะเป็นฉนวนเกิดสงคราม แต่ยากที่จะฟันธงได้ชัดๆ ว่า สงครามจะเริ่มขึ้นเมื่อไร
ฉันใดฉันนั้น เวลาแม่ทัพวางยุทธวิธีเพื่อรบกับฝ่ายตรงข้าม พวกเขาจะซุ่มวางแผนกันลับๆ ไม่มีฝ่ายไหนประกาศรบกันโต้งๆ ดังนั้น คุณไม่มีทางรู้เลย เช่นเดียวกับความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน วันดีคืนดี รัสเซียก็เดินเกมบุกยูเครนในเช้าวันที่ 24 กุมภาพันธ์ทันที
แล้วสถิติย้อนหลังที่ทีมงาน Jitta Wealth รวบรวมมาเป็นกรณีศึกษา ผ่านการลงทุนในดัชนี S&P Composite (ดัชนี S&P500 ในปัจจุบัน) ครอบคลุมสงครามใหญ่ 6 ครั้ง ให้บทเรียนสำคัญๆ เพื่อมาออกแบบ ‘กลยุทธ์ลงทุน’ ได้อย่างไรบ้าง
สรุป คือ ลงทุนช่วงเริ่มต้นและช่วงกลางสงคราม และถือเอาไว้ จะทำให้คุณไม่พลาดช่วงที่ตลาดหุ้นพลิกกลับมาเป็นขาขึ้น และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้คุณ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนทั่วโลกนิยมกัน เรียกว่า Buy the Invasion ลงทุนตอนช่วงบุกรุกห่ำหั่นกัน
ในขณะเดียวกัน ก็เป็นจุดที่นักลงทุนหลายคนพลาด จากความพยายามจับจังหวะตลาดหุ้น เพื่อซื้อที่จุดต่ำสุด ความเป็นจริง คือ คุณไม่มีทางรู้เลยว่า จุดต่ำสุดคือเมื่อไร
เพราะตลาดหุ้นในแต่ละปี มีทั้งขาขึ้นและขาลง ไม่ว่าจะเกิดวิกฤต มีสงคราม หรือช่วงเวลาปกติ หากเป็นการลงทุนระยะยาว กลยุทธ์ DCA อย่างสม่ำเสมอ โดยไม่สนใจถึงความผันผวนที่เกิดขึ้น จะทำให้พอร์ตลงทุนของคุณแข็งแกร่งและเติบโตเช่นกัน และคุณจะสร้างผลตอบแทนได้ใกล้เคียงกับการลงทุนในช่วงเวลาที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นอีกวิธีรับมือกับทุกวิกฤตที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น
นอกจากนี้ยังมีเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ด้วย เพราะช่วงเกิดสงคราม เศรษฐกิจของประเทศที่เข้าร่วมสงครามจะถูกกระตุ้นจากนโยบายการคลังแบบขยายตัว (Expansionary Fiscal Policy) ภาครัฐต้องใช้เงินจำนวนมาก เพื่อจ้างให้ภาคเอกชนผลิตสิ่งของที่จำเป็นในการทำสงคราม เช่น การจ้างโรงงานเสื้อผ้าให้ตัดเย็บชุดทหาร หรือการจ้างโรงงานกระป๋องให้ผลิตกระติกน้ำทหาร นั่นหมายความว่า เศรษฐกิจไม่ได้หยุดชะงัก เพียงแต่เปลี่ยนกิจกรรม การลงทุนและการบริโภคยังคงมีอยู่
คุณจะเห็นว่า เมื่อสงครามจบลง ดัชนีตลาดหุ้นมักจะเป็นขาขึ้นต่อไปอีก จากแรงส่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงสงคราม หรือที่เรียกว่า Post-war Economic Boom นั่นเอง
แต่ถ้าคุณเกิดความรู้สึกตื่นตระหนกหรือกังวลต่อความผันผวนที่เกิดขึ้น อารมณ์และอคติจะส่งผลต่อการตัดสินใจของคุณ หากคุณรีบขายสินทรัพย์ที่ดี จะทำให้คุณพลาดโอกาสทำผลตอบแทนที่ดีในช่วงสงครามก็ได้ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าสงครามที่เกิดขึ้นจะจบลงตอนไหน แต่ทุกสงครามมีจุดจบเสมอ
ทีมงาน Jitta Wealth หวังว่า สถิติย้อนหลังนี้จะช่วยให้คำตอบกับคุณได้ว่า ‘กลยุทธ์ลงทุน’ แบบไหนที่สร้างผลตอบแทนให้คุณได้ดีที่สุดในช่วงสงคราม เพื่อให้คุณนำไปประยุกต์ให้เข้ากับพอร์ตลงทุนของคุณเองได้
หากคุณมั่นใจว่า หลักการลงทุนระยะยาวของ Jitta Wealth ที่จัดพอร์ตด้วยเทคโนโลยีอัตโนมัติ (Automated Investing) พัฒนา AI และอัลกอริทึมมาคัดหุ้นและ ETF ที่มีคุณภาพดี จะช่วยให้คุณสร้างความมั่งคั่งผ่านทุกช่วงเวลาไปได้อย่างแข็งแกร่ง ลองเข้ามาอ่านข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ https://blog.jittawealth.com/ หรือสอบถามเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนได้ทาง Line ID: @JittaWealth
กองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth บริหารจัดการโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด ซึ่งเป็น WealthTech แห่งแรกของไทยที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง กำกับโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ใบอนุญาตเลขที่ ลค-0105-01
ผลตอบแทนในอดีต ไม่สามารถการันตีผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจนโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนต่างประเทศอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
5 ทางเลือก เมื่อ LTF ครบกำหนด ลงทุนอะไรต่อดี