ปรับ ‘กลยุทธ์ลงทุน’ รับมือสงครามยืดเยื้อ

18 เมษายน 2565Global ETFJitta RankingJitta WealthThematic

ไฮไลต์

  • ทุกครั้งที่เกิดสงคราม นักลงทุนย่อมเกิดความกังวลเป็นธรรมดา แต่ก็มีโอกาสลงทุนมากมายอยู่ในภาวะนี้เช่นเดียวกัน เพราะทุกวิกฤตมีโอกาส อยู่ที่ ‘กลยุทธ์ลงทุน’ ในช่วงเวลานั้น ว่าคุณจะเลือกลงทุนช่วงเริ่มต้น กลาง หรือสิ้นสุดสงคราม
  • จริงๆ แล้วตลาดหุ้นไม่ได้กลัวสงคราม แต่กลัวความไม่แน่นอนระหว่างที่เกิดสงคราม นี่คือสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกมีอารมณ์และอคติต่อการตลาดหุ้นมากกว่าช่วงที่ไม่มีสงคราม
  • นักลงทุนพยายามในการจับจังหวะตลาดหุ้น เพื่อลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นตกลงไปต่ำที่สุดและขายออกไปในช่วงตลาดหุ้นขึ้นมาสูงที่สุด แต่ในความเป็นจริง คือ ไม่มีใครคาดการณ์ได้แม่นยำ จนทำให้พลาดโอกาสสร้างผลตอบแทนช่วงที่ตลาดหุ้นพลิกกลับมาเป็นขาขึ้น หรืออาจจะขาดทุนจากการลงทุนในช่วงสงคราม
  • การลงทุนในช่วงเริ่มต้นและกลางสงครามสร้างผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยได้ดีที่สุด รวมไปถึงการลงทุนแบบ DCA (Dollar Cost Averaging) ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดสงครามจะสร้างผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยได้ดีเช่นเดียวกัน
  • ช่วงเกิดสงคราม เศรษฐกิจของประเทศที่เข้าร่วมสงคราม จะถูกกระตุ้นจากนโยบายการคลังแบบขยายตัว (Expansionary Fiscal Policy) เพราะภาครัฐต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อจ้างให้ภาคเอกชนผลิตสิ่งของที่จำเป็นในการทำสงคราม และเศรษฐกิจจะขยายตัวหลังสงครามไปสักระยะ ดังนั้นตลาดหุ้นจะเป็นขาขึ้นมากกว่าขาลง

สงครามยังไม่จบ…อย่าเพิ่งนับศพทหาร 

วลีนี้ยังใช้ได้กับการห้ำหั่นกันของ 2 ประเทศ รัสเซียและยูเครน ที่ยืดเยื้อมานานเกือบ 2 เดือน และไม่มีทางรู้เลยว่า บทสรุปจะไปทางไหน จบลงด้วยดีหรือไม่

ทุกครั้งที่เกิดสงคราม ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในวงจำกัดหรือลามไปทั่วโลก ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ความกังวลของนักลงทุนทั่วโลกในช่วงเวลาสงครามมีมากกว่าช่วงเวลาปกติ และแน่นอนว่า ตลาดหุ้นจะผันผวนมากกว่าเดิม เพราะถูกขับเคลื่อนด้วยอคติและอารมณ์จากความไม่แน่นอนต่างๆ ยิ่งสงครามทวีความรุนแรงมากขึ้น สร้างความเสียหายที่เป็นมูลค่ามหาศาล กลายเป็นวิกฤตที่รุนแรงมากขึ้นไปอีก 

แล้วในฐานะนักลงทุน…คุณจะรับมืออย่างไร ปรับ ‘กลยุทธ์ลงทุน’ ไปทางไหน เมื่อสงครามยืดเยื้อ และหากจะลงทุนช่วงเวลาที่เกิดสงคราม…ช่วงไหนดีที่สุด

บทความนี้ ทีมงาน Jitta Wealth ได้รวบรวมสถิติการลงทุนในช่วงเวลาต่างๆ ที่เกิดสงคราม หากคุณอยากรู้ว่า ตลาดหุ้นเป็นอย่างไร คุณควรเข้าลงทุนตอนไหน กลยุทธ์แบบไหนดีที่สุด ท่ามความความไม่แน่นอนและเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ มาหาคำตอบได้เลย

ใช้ ‘กลยุทธ์ลงทุน’ ช่วงสงครามยังไงให้ได้กำไร

เมื่อเกิดสงคราม ‘กลยุทธ์ลงทุน’ เหมือนกับช่วงเวลาปกติหรือไม่ หากคุณต้องการสร้างผลตอบแทนให้ได้มากที่สุด

ทีมงาน Jitta Wealth รวบรวมสถิติย้อนหลังมาเป็นกรณีศึกษา โดยใช้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีจากการลงทุนในช่วงเวลาต่างๆ ที่เกิดสงคราม ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยจะพาคุณย้อนเวลากลับไป 100 กว่าปี ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ปี 2457

ส่วนช่วงเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดสงครามจะอ้างอิงข้อมูลจากสารานุกรม Britannica ซึ่งรวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่มีอายุยาวนานมากกว่า 2 ศตวรรษ

ดัชนีตลาดหุ้นที่ใช้เป็นกรณีศึกษา คือ ดัชนี S&P Composite ที่มีการคำนวณย้อนหลังยาวนานตั้งแต่ปี 2414 กว่าจะมาเป็นดัชนี S&P500 ยอดนิยมในปัจจุบัน มีที่มาที่ไป ดังนี้

  • ช่วงปี 2414-2460 ดัชนี S&P Composite ได้รับการคำนวณย้อนหลังแบบรายเดือนโดย Cowles Commission for Research in Economics ชื่อในปัจจุบันคือ The Cowles Foundation ภายใต้การดูแลของมหาวิทยาลัย Yale ในสหรัฐฯ
  • ต่อมาในปี 2461-2470 ดัชนี S&P Composite ถูกคำนวณแบบรายสัปดาห์เป็นครั้งแรกจากราคาหุ้นของ 233 บริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยบริษัท Standard Statistics ซึ่งต่อมาถูกควบรวมกับบริษัท Poor’s Publishing กลายเป็นบริษัท Standard & Poor’s ในปัจจุบัน
  • เริ่มมีการคำนวณดัชนี S&P90 ในช่วงปี 2471-2499 รายสัปดาห์เป็นครั้งแรก หลังมีบริษัท Standard & Poor’s โดยดัชนีถูกคำนวณจากราคาหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ 90 บริษัทจาก 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ การผลิต สาธารณูปโภค และการขนส่งทางราง
  • ต่อมาในปี 2500 ดัชนี S&P500 ถูกคำนวณขึ้นครั้งแรก โดยในช่วงปี 2500-2531 ดัชนียังถูกคำนวณจากราคาหุ้นจากบางกลุ่มอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่หลังจากปี 2531 ดัชนี S&P500 จึงเปลี่ยนวิธีคำนวณมาใช้มูลค่ามาร์เก็ตแคปของหุ้นที่อยู่ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก (NYSE) และ Nasdaq ที่ใหญ่ที่สุด 500 บริษัทแรก จนถึงปัจจุบัน

ทีมงาน Jitta Wealth จำลองสไตล์การลงทุน 4 รูปแบบ โดยเลือกจังหวะการลงทุนที่แตกต่างออกไป ได้แก่ ลงทุนครั้งเดียวในช่วงสงครามเริ่มต้น กลางสงคราม และสงครามสิ้นสุด กับลงทุนแบบ DCA (Dollar Cost Averaging) แต่ทุกๆ รูปแบบจะถือไว้จนครบ 10 ปีหลังสงครามสิ้นสุด ซึ่งจะเป็นการลงทุนระยะยาว สะท้อนความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในทุกช่วงเวลา รวมไปถึงผลพวงหลังสงครามสิ้นสุด โดยจะเปรียบเทียบจากผลตอบแทนเฉลี่ยของแต่ละพอร์ต อย่างไรก็ตาม ทีมงานไม่ได้ใช้ข้อมูลราคาของกองทุนดัชนี จึงไม่รวมผลตอบแทนจากเงินปันผลและการคิดค่าธรรมเนียมต่างๆ เนื่องจากกองทุนดัชนีกองแรกของโลก คือ Vanguard 500 Fund เพิ่งถูกตั้งขึ้นปลายเดือนสิงหาคม 2519 จึงไม่ครอบคลุมช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเวียดนาม

กลยุทธ์ลงทุน

คุณจะเห็นว่า การลงทุนในเดือนที่สงครามเริ่มต้น และถือต่อไปอีก 10 ปีหลังสงครามจบจะสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงที่สุด จาก 4 ใน 6 สงคราม นั่นเป็นเพราะว่า ต้นทุนการลงทุนในช่วงเริ่มต้นสงครามยังไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับต้นทุนในช่วงสงครามสิ้นสุด จึงทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงกว่า  

ขณะเดียวกัน หากลงทุนในช่วงสงครามสิ้นสุด คุณจะเห็นว่า จากสงครามใหญ่ 6 ครั้ง ไม่มีครั้งไหนที่ทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงที่สุดเลย เนื่องจากดัชนีตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นไปแล้ว จากการรับรู้ผลกระทบจากสงครามต่างๆ ต้นทุนการลงทุนจึงสูงตามไปด้วย

นอกจากนี้ยังมีข้อค้นพบอื่นๆ ซึ่งเป็นเกร็ดน่ารู้ของ ‘กลยุทธ์ลงทุน’ ในช่วงสงคราม มีเหตุการณ์ที่น่าสนใจ ดังนี้

  • ลงทุนช่วงกลางสงครามโลกครั้งที่ 2 สร้างผลตอบแทนได้มากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่เกิดเหตุการณ์ Pearl Harbor รัฐฮาวายพอดี (ธันวาคม 2484) ดัชนี S&P Composite แตะจุดต่ำสุด แต่หลังจากที่สหรัฐฯ ชนะการศึกเหนือกองทัพเรือญี่ปุ่นได้หลายๆ ครั้งติดๆ กัน ดัชนี S&P Composite พลิกกลับมาเป็นขาขึ้นทันที
  • ลงทุนแบบ DCA ช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย ทำผลตอบแทนเฉลี่ยสูงที่สุด เมื่อเทียบกับสงครามใหญ่ 6 ครั้ง เพราะเป็นช่วงที่ดัชนี S&P500 เป็นขาขึ้นมาอย่างยาวนาน ก่อนไปสะดุดในช่วงวิกฤตฟองสบู่ Dot Com (ปี 2538-2544) และเป็นสงครามที่มีระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึง 1 ปีเท่านั้น
  • ช่วงสงครามอัฟกานิสถาน ลงทุนตอนเริ่มต้นสงครามกับแบบ DCA ทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้ใกล้เคียงกัน เพราะดัชนี S&P500 ในช่วงปี 2544-2557 เป็นเคลื่อนไหวมีทั้งขาขึ้นและขาลงแรงๆ เป็นรูป W-shape แม้ว่าจะจบวิกฤตฟองสบู่ Dot Com ไปแล้วก็ตาม ดังนั้นต้นทุนระหว่างช่วงเริ่มต้นสงครามกับแบบ DCA จึงมีแนวโน้มเท่าๆ กัน 
  • ช่วงสงครามอิรัก ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับสงครามอัฟกานิสถาน แต่ทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงกว่า เนื่องจากช่วงสงครามอิรักเริ่มต้น ดัชนี S&P500 เป็นขาลงแรงๆ พอดี ประกอบกับสงครามอิรักมีระยะเวลาสั้นกว่า เริ่มช้ากว่า จบเร็วกว่า แม้ช่วงเวลาสิ้นสุดสงครามดัชนีเป็นขาขึ้นเหมือนๆ กันก็ตาม

ทีมงาน Jitta Wealth จึงค้นพบว่า จริงๆ แล้วตลาดหุ้นไม่ได้กลัวสงคราม แต่กลัวความไม่แน่นอนระหว่างที่เกิดสงคราม นี่คือสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกมีอารมณ์และอคติต่อการตลาดหุ้นมากกว่าช่วงที่ไม่มีสงคราม

กลยุทธ์ลงทุน

จากกราฟไทม์ไลน์การเคลื่อนไหวดัชนี S&P Composite (ก่อนจะเปลี่ยนเป็นดัชนี S&P500) ในช่วงนานกว่า 1 ศตวรรษ ครอบคลุมสงครามใหญ่ 6 ครั้ง คุณจะเห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหลังสงครามอ่าวเปอร์เซีย หลายๆ ครั้งที่เกิดสงคราม ตลาดหุ้นมักปรับตัวลงหลังจากช่วงเริ่มต้นสงครามไปแล้ว 

แต่เมื่อสงครามดำเนินไปสักระยะ จนนักลงทุนสามารถประเมินสถานการณ์ได้ รับรู้ผลกระทบไปแล้ว จึงบรรเทาความวิตกกังวลลง ตลาดหุ้นจะปรับตัวเป็นขาขึ้น เป็น V-shape อย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นไปจนสิ้นสุดสงคราม

เมื่อประกอบกับการจำลองสไตล์การลงทุน 4 รูปแบบ และผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง จุดที่น่าสนใจมีดังนี้

  • กราฟดัชนี S&P Composite หากเจาะเฉพาะช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามโลกครั้ง 2 และสงครามเวียดนาม มีการเคลื่อนไหวเป็น V-shape เช่นเดียวกัน เพียงแต่ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงเวลานั้น การลงทุนยังจำกัดเฉพาะกลุ่ม บริษัทในตลาดหุ้นมีไม่มาก ขาด Mass Participation จากนักลงทุนรายย่อย กราฟดัชนีในภาพใหญ่จึงไม่ผันผวนมาก ขึ้นหรือลงแรงๆ ให้เห็น
  • หลังจากเมื่อเปลี่ยนเป็นดัชนี S&P500 ปี 2500 กาลเวลาผันเปลี่ยนไป โลกขับเคลื่อนด้วยระบบทุนนิยมมากขึ้น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีบริษัทจดทะเบียนใหม่ๆ เข้ามากขึ้น จนกลายเป็นมหาอำนาจทางการเงินโลกมาจนถึงปัจจุบัน
  • กราฟดัชนี S&P500 ในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย สงครามอิรัก และสงครามอัฟกานิสถาน จะขึ้นลงแรง เพราะตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีวิวัฒนาการจนเป็นระบบทุนนิยมเต็มรูปแบบ มีหุ้นเทคโนโลยีเกิดขึ้นนับร้อยบริษัท มีหุ้นบริษัทข้ามชาติจากทั่วโลก ขณะเดียวกันนักลงทุนรายย่อยเห็นโอกาสสร้างความมั่งคั่งจากตลาดหุ้นมากขึ้น จึงเกิด Mass Participation จากนักลงทุนทั่วโลก

‘กลยุทธ์ลงทุน’ จับจังหวะหรือ DCA ดีกว่ากัน

คุณจะรู้ได้อย่างไร ว่าจุดเริ่มต้นของสงครามคือตอนไหน นี่ถึงจุดต่ำสุดของดัชนีหรือยัง แล้วสงครามจะจบเมื่อไร

คำตอบชัดๆ คือ ไม่มีใครรู้ หรือคาดการณ์ได้เลย กูรูอาจจะประเมินได้ว่า ความขัดแย้งนี้อาจจะเป็นฉนวนเกิดสงคราม แต่ยากที่จะฟันธงได้ชัดๆ ว่า สงครามจะเริ่มขึ้นเมื่อไร

ฉันใดฉันนั้น เวลาแม่ทัพวางยุทธวิธีเพื่อรบกับฝ่ายตรงข้าม พวกเขาจะซุ่มวางแผนกันลับๆ ไม่มีฝ่ายไหนประกาศรบกันโต้งๆ ดังนั้น คุณไม่มีทางรู้เลย เช่นเดียวกับความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน วันดีคืนดี รัสเซียก็เดินเกมบุกยูเครนในเช้าวันที่ 24 กุมภาพันธ์ทันที

แล้วสถิติย้อนหลังที่ทีมงาน Jitta Wealth รวบรวมมาเป็นกรณีศึกษา ผ่านการลงทุนในดัชนี S&P Composite (ดัชนี S&P500 ในปัจจุบัน) ครอบคลุมสงครามใหญ่ 6 ครั้ง ให้บทเรียนสำคัญๆ เพื่อมาออกแบบ ‘กลยุทธ์ลงทุน’ ได้อย่างไรบ้าง

  • กลยุทธ์ลงทุนที่ทำได้ง่ายที่สุดและทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้น่าพอใจ คือ การลงทุนแบบ DCA ตั้งแต่สงครามเริ่มต้นจนสิ้นสุดและถือเอาไว้อีก 10 ปี โดยหากคุณวางแผนจัดสรรเงินมาลงทุนแบบ DCA เป็นประจำอยู่แล้ว สามารถทำตามแผนเดิมได้ต่อเนื่อง 
  • หากคุณเพิ่งเข้าลงทุนก่อนเกิดสงครามพอดีก็สามารถเบาใจได้ เพราะสถิติย้อนหลัง 4 จาก 6 สงครามได้พิสูจน์แล้วว่า การลงทุนช่วงเริ่มต้นสงครามทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงที่สุด หรือหากคุณต้องการลงทุนเพิ่มก็ควรจะลงทุนในช่วงเริ่มต้นสงคราม เพราะดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกจะลดลงมาโดยธรรมชาติ จากความขัดแย้งที่ยังคุกรุ่นและความกังวลของนักลงทุน 
  • การลงทุนช่วงกลางสงครามทำผลตอบแทนเฉลี่ยในดีที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเกิดเหตุการณ์ Pearl Harbor ที่ถือเป็นจุดพลิกผันของสงครามพอดี แต่ในสงครามอื่นๆ การลงทุนระหว่างสงครามทำผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง หากคุณเริ่มต้นลงทุนในช่วงนี้ ก็ไม่ได้ผิดอะไร ย่อมดีกว่าการถือเงินสดไว้เฉยๆ โดยไม่ลงทุน เพราะภาวะเงินเฟ้อหลังสงครามเกิดขึ้นได้เสมอ และจะกัดกินมูลค่าเงินโดยธรรมชาติ
  • การลงทุนเมื่อสงครามสิ้นสุดทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้ปานกลางเช่นเดียวกับช่วงกลางสงคราม แต่คุณต้องคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้แม่นยำมากๆ เพราะตลาดหุ้นจะเป็นขาขึ้นอยู่แล้ว หลังสงครามสิ้นสุด คุณต้องจับจังหวะนี้ให้ได้ทันท่วงที มิฉะนั้นคุณจะพลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย

สรุป คือ ลงทุนช่วงเริ่มต้นและช่วงกลางสงคราม และถือเอาไว้ จะทำให้คุณไม่พลาดช่วงที่ตลาดหุ้นพลิกกลับมาเป็นขาขึ้น และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้คุณ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนทั่วโลกนิยมกัน เรียกว่า Buy the Invasion ลงทุนตอนช่วงบุกรุกห่ำหั่นกัน

ในขณะเดียวกัน ก็เป็นจุดที่นักลงทุนหลายคนพลาด จากความพยายามจับจังหวะตลาดหุ้น เพื่อซื้อที่จุดต่ำสุด ความเป็นจริง คือ คุณไม่มีทางรู้เลยว่า จุดต่ำสุดคือเมื่อไร

เพราะตลาดหุ้นในแต่ละปี มีทั้งขาขึ้นและขาลง ไม่ว่าจะเกิดวิกฤต มีสงคราม หรือช่วงเวลาปกติ หากเป็นการลงทุนระยะยาว กลยุทธ์ DCA อย่างสม่ำเสมอ โดยไม่สนใจถึงความผันผวนที่เกิดขึ้น จะทำให้พอร์ตลงทุนของคุณแข็งแกร่งและเติบโตเช่นกัน และคุณจะสร้างผลตอบแทนได้ใกล้เคียงกับการลงทุนในช่วงเวลาที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นอีกวิธีรับมือกับทุกวิกฤตที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น

นอกจากนี้ยังมีเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ด้วย เพราะช่วงเกิดสงคราม เศรษฐกิจของประเทศที่เข้าร่วมสงครามจะถูกกระตุ้นจากนโยบายการคลังแบบขยายตัว (Expansionary Fiscal Policy) ภาครัฐต้องใช้เงินจำนวนมาก เพื่อจ้างให้ภาคเอกชนผลิตสิ่งของที่จำเป็นในการทำสงคราม เช่น การจ้างโรงงานเสื้อผ้าให้ตัดเย็บชุดทหาร หรือการจ้างโรงงานกระป๋องให้ผลิตกระติกน้ำทหาร นั่นหมายความว่า เศรษฐกิจไม่ได้หยุดชะงัก เพียงแต่เปลี่ยนกิจกรรม การลงทุนและการบริโภคยังคงมีอยู่

คุณจะเห็นว่า เมื่อสงครามจบลง ดัชนีตลาดหุ้นมักจะเป็นขาขึ้นต่อไปอีก จากแรงส่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงสงคราม หรือที่เรียกว่า Post-war Economic Boom นั่นเอง

แต่ถ้าคุณเกิดความรู้สึกตื่นตระหนกหรือกังวลต่อความผันผวนที่เกิดขึ้น อารมณ์และอคติจะส่งผลต่อการตัดสินใจของคุณ หากคุณรีบขายสินทรัพย์ที่ดี จะทำให้คุณพลาดโอกาสทำผลตอบแทนที่ดีในช่วงสงครามก็ได้ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าสงครามที่เกิดขึ้นจะจบลงตอนไหน แต่ทุกสงครามมีจุดจบเสมอ

ทีมงาน Jitta Wealth หวังว่า สถิติย้อนหลังนี้จะช่วยให้คำตอบกับคุณได้ว่า ‘กลยุทธ์ลงทุน’ แบบไหนที่สร้างผลตอบแทนให้คุณได้ดีที่สุดในช่วงสงคราม เพื่อให้คุณนำไปประยุกต์ให้เข้ากับพอร์ตลงทุนของคุณเองได้

หากคุณมั่นใจว่า หลักการลงทุนระยะยาวของ Jitta Wealth ที่จัดพอร์ตด้วยเทคโนโลยีอัตโนมัติ (Automated Investing) พัฒนา AI และอัลกอริทึมมาคัดหุ้นและ ETF ที่มีคุณภาพดี จะช่วยให้คุณสร้างความมั่งคั่งผ่านทุกช่วงเวลาไปได้อย่างแข็งแกร่ง ลองเข้ามาอ่านข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ https://blog.jittawealth.com/ หรือสอบถามเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนได้ทาง Line ID: @JittaWealth

  • Global ETF กระจายความเสี่ยงผ่าน ETF หุ้นและตราสารหนี้ทั่วโลก
  • Thematic จัดพอร์ตลงทุนใน ETF หุ้นธุรกิจเมกะเทรนด์และธีมตลาดหุ้นโตยาว
  • Jitta Ranking ลงทุนใน ‘หุ้นดีราคาถูก’ และ ‘หุ้นดีมีโอกาสเติบโต’ วิเคราะห์โดย AI 

กองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth บริหารจัดการโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด ซึ่งเป็น WealthTech แห่งแรกของไทยที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง กำกับโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ใบอนุญาตเลขที่ ลค-0105-01

ผลตอบแทนในอดีต ไม่สามารถการันตีผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจนโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนต่างประเทศอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน


อ้างอิง

  1. Wars, Battles & Armed Conflicts https://www.britannica.com/browse/Wars-Battles-Conflicts
  2. Operation DESERT STORM
    https://history.army.mil/html/bookshelves/resmat/desert-storm/index.html
  3. Why Investors Should “Buy the Invasion”
    https://cabotwealth.com/daily/options-trading/why-investors-should-buy-the-invasion/
  4. Economic Recovery: Lessons from the Post-World War II Period
    https://www.mercatus.org/publications/economic-history/economic-recovery-lessons-post-world-war-ii-period
  5. What is the Dotcom Bubble?
    https://corporatefinanceinstitute.com/resources/knowledge/trading-investing/dotcom-bubble/
  6. The S&P Composite Before 1957
    https://globalfinancialdata.com/the-sp-composite-before-1957

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

5 ทางเลือก เมื่อ LTF ครบกำหนด ลงทุนอะไรต่อดี

CEO ของ Jitta Wealth พร้อมตอบ ตลาดหุ้นยังน่าลงทุนอยู่ใช่ไหม

ลงทุน ETF ต่างประเทศ งบ 50,000 หรือ 100,000 บาท แบบไหนดี

บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด
1111/9-10 ถนนลาดพร้าว แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900



สงวนลิขสิทธิ์ © 2024 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด
เนื้อหาทั้งหมดบนเว็บไซต์นี้จัดทำขึ้นโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด (“Jitta Wealth”) ผู้บริหารจัดการบัญชีกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth ที่ได้รับใบอนุญาตบริหารจัดการกองทุนประเภท ค เลขที่ ลค-0105-01 และดำเนินการภายใต้การกำกับ ดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) Jitta Wealth ให้บริการกองทุนส่วนบุคคลสำหรับผู้ลงทุนรายย่อย ที่ต้องการนำเงินมาลงทุนในตลาดทุน โดยใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์หุ้นและกลยุทธ์การลงทุนที่จัดทำโดยบริษัทจิตตะ ดอท คอม จำกัด (“Jitta.com”) บริหารจัดการให้แบบอัตโนมัติ เพื่อผลตอบแทนระยะยาวที่สูงกว่าดัชนีตลาด การลงทุนมีความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียกำไรหรือเงินต้น กลยุทธ์การลงทุนของ Jitta Wealth ใช้ข้อมูลวิเคราะห์หุ้นของ Jitta.com ซึ่งคิดคำนวณจากข้อมูลในอดีต อัตราผลตอบแทน การเปรียบเทียบหรือการจัดอันดับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนบนเว็บไซต์นี้เป็นสมมุติฐานทางสถิติจากข้อมูลที่มี เพื่อใช้ประกอบการอธิบายรายละเอียดบริการเท่านั้น ไม่สามารถใช้รับประกันผลตอบแทนในอนาคตได้ สถานการณ์ในโลกที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะแง่บวกหรือแง่ลบ สามารถส่งผลกระทบ ต่อทั้งอุตสาหกรรมหรือกลุ่มธุรกิจ และอาจทำให้พอร์ตหุ้นที่มีการกระจายความเสี่ยงค่อนข้างมากแล้ว ประสบความผันผวนด้านราคาได้ Jitta Wealth ได้รับอนุญาตให้บริหารจัดการกองทุนเพื่อช่วยผู้ลงทุนบรรลุเป้าหมายด้านการเงินผ่านการ ลงทุนในสินทรัพย์ประเภท หุ้นโดยไม่มีเจตนาแนะนำความเหมาะสมของกลยุทธ์การลงทุนใดๆ แก่ผู้ลงทุน ผู้ลงทุนควรคำนึงถึงเป้าหมายการลงทุนส่วนตัว และค่าธรรมเนียมต่างๆ ของ Jitta Wealth ก่อนลงทุน
“Jitta Wealth” เป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด