Live: ปั้นพอร์ตสุขภาพดี ด้วย ‘หุ้นเฮลท์แคร์’ ทีมงาน Jitta Wealth เปิดตัวแผนการลงทุนใหม่ล่าสุด Jitta Ranking – U.S. Healthcare โดยมี คุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO จาก Jitta Wealth คุณแมกซ์ ปุลวัชร ปิติไกรศร เป็น Economist จาก Jitta Wealth และมีคุณสายไหม มนสิชา หุ่นสุวรรณ เป็นพิธีกร
ก่อนหน้านี้ Jitta Wealth มีกองทุนส่วนบุคคล Thematic ที่เปิดให้ลงทุนใน Passive ETF ถึง 3 กอง ได้แก่ ธีมบริการสุขภาพ (Healthcare) ธีมจีโนมิกส์ (Genomics) และธีมบริการสุขภาพจีน (China Healthcare)
สำหรับกองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking คือ พอร์ตลงทุนหุ้นรายตัว โดยมีหลักการลงทุนระยะยาว เลือกหุ้นพื้นฐานดี มูลค่าเหมาะสม วิเคราะห์ผ่าน AI และอัลกอริทึมของ Jitta และใช้หลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investment) ตามสไตล์ Warren Buffett เพื่อให้ทุกคนสามารถสร้างความมั่งคั่งได้เหมือนกับที่ Buffett ทำสำเร็จและสร้างตำนานจนเป็นที่กล่าวขานถึงทุกวันนี้
Jitta Ranking – U.S. Healthcare เป็นพอร์ตลงทุนในหุ้นสุขภาพจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ วิเคราะห์และคัดสรร ‘หุ้นดีมีโอกาสเติบโต’ นำมาจัดเรียงเป็นหุ้นที่น่าลงทุนที่สุด 30 บริษัทแรก และจัดพอร์ต 5-30 หุ้น พร้อมปรับพอร์ตให้อัตโนมัติทุก 3 เดือน เลือกหุ้นพื้นฐานดี งบการเงินดี และราคามีโอกาสเติบโตเข้าพอร์ตอยู่เสมอ
เราจะหาคุณไปเจาะลึกธุรกิจเฮลท์แคร์ เมกะเทรนด์ที่ไม่มีวันตายกัน
คุณแมกซ์: อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ทั่วโลกใหญ่ประมาณ 8.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2562 และมีการเติบโตที่ดีมาก +3.7% ต่อปี ในช่วงปี 2553-2562 และ +5.9% ต่อปี ในช่วงปี 2543-2562
คุณจะพบว่า อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์เติบโตเรื่อยๆ และขยายธุรกิจไปกว้างมาก คุณอาจจะนึกถึงธุรกิจโรงพยาบาล แต่ปัจจุบันเฮลท์แคร์ไม่ได้จำกัดแค่นั้น ยังรวมไปถึงธุรกิจเภสัชกรรม จีโนมิกส์ วัคซีน ไบโอเทคโนโลยี และดิจิทัลเฮลท์แคร์ อย่างเช่น TeleHealth ที่เป็นการรักษาทางไกลผ่านออนไลน์ ตอนนี้มีแอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มออนไลน์น้องใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
และในแต่ละธุรกิจย่อยก็ยังเติบโตขึ้นได้ และมีนวัตกรรมใหม่ๆ ไปร่วมกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ด้วยอย่างเช่น เทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซและเฮลท์แคร์ ซึ่งจะช่วยปฏิวัติอุตสาหกรรมให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด
สำหรับ 5 ปัจจัย ที่จะช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์มีอนาคตและเติบโตได้อีกยาว มีดังนี้
คุณแมกซ์: สหรัฐฯ มีอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นผู้นำด้านวัตกรรมต่างๆ มีข้อได้เปรียบด้านสิทธิบัตร นำรายได้หรือกำไรกลับไปทำวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยสหรัฐฯ มีระบบประกันสุขภาพที่ครอบคลุมประชากร ซึ่งส่งผลดีต่อทั้งคุณภาพชีวิต และยังช่วยดันธุรกิจเฮลท์แคร์เติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย
คุณเผ่า: สหรัฐฯ สมัยก่อน การจะพัฒนายา เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้ป่วยเป็นเรื่องที่ยากมาก ต้องผ่านกฎและข้อบังคับต่างๆ ก่อนที่จะปล่อยยาออกมาได้ ซึ่งกฎและข้อบังคับได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปในช่วงการแพร่ระบาด Covid-19 เร่งให้ธุรกิจเฮลท์แคร์จำเป็นต้องพัฒนายาและการรักษาออกมาให้เร็วที่สุด จำเป็นต้องลดขั้นตอนทุกๆ ด้าน เพราะต้องแข่งกับเวลา ซึ่งเป็นการคลายมาตรการและข้อบังคับ ส่งผลดีต่อธุรกิจเฮลท์แคร์ด้วย
คุณแมกซ์: จีนมีตลาดเฮลท์แคร์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก แต่มีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดในโลก เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในธุรกิจเฮลท์แคร์ และมีการเติบโตเฉลี่ยสูงถึง +13.2% ต่อปี ในช่วงปี 2553-2562 ซึ่งโตไวกว่าสหรัฐฯ มาก และปัจจุบันมีบริษัทจีนหลายๆ แห่งเป็นผู้นำในตลาดยาและอาหารเสริม
นอกจากนี้จีนยังได้เปรียบด้านแรงงานที่ช่วยผลิตสินค้าต่างๆ บางครั้งสหรัฐฯ ยังจำเป็นต้องมาซื้อสินค้าเฮลท์แคร์ของจีนอีกด้วย จีนยังมีแผน Healthy China 2030 ตั้งเป้าให้ประชากรจีนเข้าถึงระบบเฮลท์แคร์ 100% พร้อมทั้งยังมีแผนในการเร่งพัฒนายาต่างๆ ให้ออกมารวดเร็ว เพื่อแข่งขันกับสหรัฐฯ อีกด้วย
คุณแมกซ์: หากเราสังเกตตั้งแต่ต้นปี 2565 จะพบว่าเกิดปัญหาต่างๆ ที่ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมากมาย ทำให้นักลงทุนเริ่มหันไปลงทุนใน Defensive Stock หรือหุ้นปลอดภัย ซึ่งเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับปัจจัย 4 ของมนุษย์ และ ‘หุ้นเฮลท์แคร์’ ถูกจัดว่าเป็น Defensive Stock ด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต ขึ้นราคาและมีรายได้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ
คุณเผ่า: อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์มีจุดเด่นอยู่ที่ว่า เมื่อการรักษาแพงขึ้น จะยิ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ป่วยหรือผู้ใช้บริการ ทำให้อุตสาหกรรมนี้ มีอำนาจในการต่อรองผู้บริโภคสูงมาก ไม่มีใครกล้าไปต่อราคายาหรือค่ารักษาในโรงพยาบาล และเป็นอุตสาหกรรมที่ยังไงก็ไม่มีวันตายอย่างแท้จริง
คุณแมกซ์: Defensive Stock ราคาปรับตัวขึ้นหรือลงผันผวนน้อยกว่าหุ้นในอุตสาหกรรมอื่นๆ ซึ่งเป็นทางเลือกที่นักลงทุน เพื่อเอาไว้กระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุนอีกด้วย
คุณแมกซ์: หากดูตามสถิติดัชนี S&P500 Health Care และ S&P500 จะพบว่าหุ้นอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์สามารถทำผลตอบแทนชนะดัชนี S&P500 ในช่วงตลาดหุ้นผันผวน
คุณเผ่า: ‘หุ้นเฮลท์แคร์’ ทำผลตอบแทนได้ดีมากในช่วงปีที่ผ่านมา เนื่องจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 ซึ่งหากโยงอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์เข้ากับเทคโนโลยี ให้ลองไปดูที่ดัชนี NASDAQ Health Care จะพบว่า การขึ้นลงแรงกว่าดัชนีอื่นๆ ตอนนี้ดัชนีได้ปรับลดลงมาก ตามความกลัวของนักลงทุนที่เกิดขึ้น
สำหรับหุ้นตัวอย่าง ได้แก่ BioNTech ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนายาต้านเซลล์มะเร็งด้วยเทคโนโลยี mRNA สัญชาติเยอรมัน ซึ่ง BioNTech ได้ร่วมมือกับ Pfizer เพื่อพัฒนาวัคซีน Covid-19
รายได้บริษัทโตขึ้นจาก 500 เป็น 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เกือบ 4,000% ในปีเดียวเท่านั้น ซึ่งคุณจะเห็นโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ยังมีอยู่เสมอ และบริษัทยังไม่หยุดพัฒนาแค่เพียงเท่านี้ และมีแผนในการพัฒนาวัคซีนตัวอื่น เพื่อช่วยรักษาโรคในอนาคตด้วยเช่นกัน
บริษัทต่อมาคือ Fulgent Genetics ในตอนแรกเป็นธุรกิจที่พัฒนาผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับชุดตรวจโรคต่างๆ และเมื่อมี Covid-19 เข้ามาบริษัทจึงผลิตชุดตรวจ Covid-19 ทำให้ทำรายได้โตขึ้นอย่างพุ่งกระฉูด ซึ่งต้องบอกว่าน่าประทับใจมาก
สุดท้ายคือ Veeva System เป็นบริษัทขายซอฟต์แวร์ในอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการรวมกันระหว่างเทคโนโลยีคลาวด์และเฮลท์แคร์ และมีรายได้โตขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงกำไรสุทธิที่ทำให้บริษัทสามารถพัฒนาเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในการรองรับผู้ป่วยด้วยเช่นเดียวกัน
ตัวอย่าง 3 บริษัทนี้ช่วยให้คุณได้เห็นถึงโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ และความน่าสนใจในฐานะ Defensive Stock เพื่อสร้างพอร์ตให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน เพราะเป็นเมกะเทรนด์ที่ไม่มีวันตาย ใครๆ ก็ต้องการระบบสาธารณสุขที่ดีมีมาตรฐาน
คุณเผ่า: ทางเลือกการลงทุนในตอนนี้มีอยู่ 4 ประเภท ได้แก่
โดยทั้ง 3 ธีมเป็นการลงทุนผ่าน Passive ETF ที่คุณสามารถเลือกผ่านกองทุนส่วนบุคคล Thematic โดยมี 2 แผนให้เลือก คือ Thematic DIY จัดพอร์ตเลือกธีมด้วยตัวคุณเอง สูงสุด 5 ธีม และ Thematic Optimize มี AI วิเคราะห์ธีมที่น่าลงทุนที่สุดและจัดพอร์ตให้ 4 ธีม ปรับพอร์ตอัตโนมัติทุก 3 เดือน
คุณเผ่า: ควรมั่นใจในการเติบโตของอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ ชอบหลักการลงทุนที่กระจายความเสี่ยง เพราะ Jitta Ranking – U.S. Healthcare ลงทุนในธุรกิจย่อยๆ ของอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ด้วย
ที่สำคัญคือ ชื่นชอบหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investment) ตามสไตล์ Warren Buffett ลงทุนในหุ้นที่ถูกคัดเลือกด้วย AI ว่า มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต การลงทุนในอุตสาหกรรมที่เติบโตไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้ผลตอบแทนของคุณ เติบโตไปในทิศทางเดียวเช่นกัน
คุณเผ่า: อาจจะมองแบบนั้นได้ แต่คิดเรื่องของการเติบโตไปด้วย Jitta Wealth ไม่ได้มองแค่ว่า เป็นหุ้นเฮลท์แคร์ที่ Defensive รายได้นิ่ง จ่ายปันผลนิ่ง แต่ Jitta Wealth นำกลุ่มอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ที่กำลังพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาด้วย และเอามาเปรียบเทียบอีกว่า บริษัทไหนที่มีโอกาสเติบโตมากที่สุด บางช่วงเวลาอาจจะมีกลุ่มเฮลท์แคร์ด้านนวัตกรรมติดอันดับ Jitta Ranking เยอะก็ได้ บางช่วงเวลาอาจจะมีน้อยก็ได้ ขึ้นอยู่กับคุณภาพของแต่ละบริษัท ณ เวลานั้นด้วย
ถ้าเลือกได้ก็ควรลงทุนใน ‘หุ้นเฮลท์แคร์’ ที่เติบโต เพราะมันจะมาดิสรัปอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ดั้งเดิมในอนาคตด้วย
คุณแมกซ์: คุณจะมองเป็นการลงทุนเฉพาะ ‘หุ้นเฮลท์แคร์’ ชั้นนำของโลกก็ได้ เพราะส่วนมากบริษัทเหล่านี้จะซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่แล้ว
คุณเผ่า: เป็น ‘หุ้นเฮลท์แคร์’ ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้สูญเสียมาร์เก็ตแชร์ ไม่อยู่ในช่วงถดถอย ถ้ามองในอนาคต หากกลุ่มอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ดั้งเดิมถูกดิสรัปด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ หุ้นดิจิทัลเฮลท์แคร์เหล่านั้นก็จะเข้าไปอยู่ในการจัดอันดับ Jitta Ranking เหมือนกัน ซึ่งการปรับพอร์ต Jitta Ranking – U.S. Healthcare ทุก 3 เดือน คือ การเลือก ‘หุ้นดีมีโอกาสเติบโต’ อยู่เสมอ ดังนั้นคุณจะได้พอร์ตลงทุนระยะยาว สร้างผลตอบแทนแบบทบต้นอยู่ตลอดเวลา
คุณเผ่า: Jitta Ranking หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ มีความเสี่ยงสูงกว่าดัชนี มี Sector risk อยู่ เพราะเราลงแค่อุตสาหกรรมเดียว ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ในอดีตเคยมีการหาเสียงของ Hillary Clinton ว่าจะลดราคายา หุ้นเฮลท์แคร์ก็ร่วงลงมา ในบางปีก็มีอะไรมากระทบ ซึ่งมันก็อาจจะเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น หรือความผันผวนระยะสั้นได้ แต่ก็อาจจะทำให้ตกใจได้ เช่นในช่วง Covid-19 เอง หุ้นในอุตสาหกรรมกลุ่มนี้ก็ลดลงไป 30% เหมือนกัน หรือว่าในปีนี้เองกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับวัคซีน mRNA ก็ร่วงลงไปเช่นเดียวกัน แตถ้าคุณลงทุนระยะยาว และกระจายความเสี่ยงที่ดีพอ ก็ยังน่าสนใจอยู่แม้ว่าจะมีความผันผวนบ้าง
คุณเผ่า: เข้าไปที่เว็บไซต์ https://jittawealth.com/jitta-ranking/ushealthcare/stocks เป็นหุ้น 30 บริษัทที่น่าลงทุน เป็น ‘หุ้นเฮลท์แคร์’ ชั้นนำและผู้นำด้านดิจิทัลเฮลท์แคร์อยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม อันดับของหุ้นใน Jitta Ranking – U.S. Healthcare มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ‘หุ้นเฮลท์แคร์’ ในเว็บไซต์เป็นเพียงแค่ตัวอย่างเท่านั้น ในวันที่คุณลงทุนอาจจะมีเปลี่ยนแปลง เพราะราคาหุ้นและพื้นฐานงบการเงินมีการอัปเดตตลอดเวลา ดังนั้นคุณจะได้ ‘หุ้นเฮลท์แคร์’ ที่น่าลงทุนที่สุดของวันนั้น
คุณเผ่า: ลงทุนผ่าน IXJ เป็น ETF อ้างอิงดัชนี S&P Global 1200 Healthcare Sector Index มี ‘หุ้นเฮลท์แคร์’ ทั่วโลก ส่วนใหญ่อยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นหุ้นมาร์เก็ตแคปใหญ่ๆ เพราะส่วนมากเป็นบริษัทที่พิสูจน์ตัวเองมาแล้ว มีรายได้สม่ำเสมอ ข้อดี คือ จำนวนหุ้นที่ ETF ลงทุนเยอะกว่ากระจายความเสี่ยงมากกว่า จุดอ่อน คือผลตอบแทนอาจจะค่อยๆ เติบโต ถ้าเทียบกับ Jitta Ranking – U.S. Healthcare ที่มีความผันผวนมากกว่า เพราะ AI จะวิเคราะห์และจัดอันดับหุ้น โดยไม่ได้ดูจากมาร์เก็ตแคป มีหุ้นเล็ก กลาง และใหญ่ปะปนกันไป
คุณแมกซ์: IXJ มีโอกาสที่จะไปลงทุนในบริษัทใหญ่อื่นๆ อย่าง AstraZeneca หรือ GlaxoSmithKline (GSK) ที่เป็นสัญชาติอังกฤษ รวมไปถึงบริษัทจากจีนด้วย
คุณเผ่า: China Healthcare เป็นภาพเล็กลงมาจากธีมบริการสุขภาพ ซึ่งลงทุนทั่วโลก ชื่อคือ ธีมบริการสุขภาพจีน เหมือนหุ้นเติบโตด้านเฮลท์แคร์ของจีน ซึ่งอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ของจีนเติบโตเร็วที่สุดในโลก ดังนั้นธีมบริการสุขภาพจีน ทำให้คุณได้ลงทุนใน ‘หุ้นเฮลท์แคร์’ ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกเช่นเดียวกัน
คุณแมกซ์: ปัจจุบันจีนมีแผน Healthy China 2030 ตั้งเป้าให้คนจีน 100% เข้าถึงระบบประกันสุขภาพ ปกติทุกประเทศจะมีระบบประกันสุขภาพ เช่นเดียวกับประกันสังคมของไทย ในปัจจุบันประกันสุขภาพของจีนอยู่ที่ 73% ของประชากร เหลืออีกเพียงไม่กี่เปอร์เซนต์เท่านั้น ยังไม่นับแผนเข้มงวดเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาที่เพิ่มมากขึ้น เป็นผลดีกับบริษัทยา รวมไปถึงการจ่ายเงินอุดหนุนผู้ที่อยู่ในระบบประกันสุขภาพ จะเห็นได้ว่าแผน Healthy China 2030 นอกจากจะเพิ่มจำนวนคนในระบบเฮลท์แคร์แล้ว ยังเพิ่มเม็ดเงินในระบบอีกด้วย
รัฐบาลจีนยังตั้งเป้าเพิ่มอายุไขเฉลี่ยของประชากรอีก 1 ปีภายในปี 2568 ดังนั้นจะเพิ่มการเข้าถึงระบบสาธารณสุข เร่งการขึ้นทะเบียนยา และการควบคุมมลพิษ
คุณเผ่า: ที่สำคัญคือ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพของประชากรจีนยังน้อยอยู่ จึงมีโอกาสเติบโตได้อีกเยอะมาก จีนมี Economies of Scale มาก แค่ผลิตขายในประเทศก็มียอดขายสูงมากแล้ว จึงยังมีช่องว่างในการเติบโตจากในประเทศอีกเยอะมาก
คุณเผ่า: ธีมจีโนมิกส์เน้นไปที่การลงทุนในบริษัทถอดรหัสพันธุกรรม ภูมิคุ้มกัน และพันธุวิศวกรรม จากทั่วโลก การแพทย์ยุคใหม่เกี่ยวกับการรักษาโดยวินิจฉัยโรคจาก DNA ของแต่ละบุคคล วัคซีน mRNA ผลิตผลของธีมจีโนมิกส์ จริงๆ การพัฒนาลงลึกถึงระบบพันธุกรรมมีมานานแล้ว แต่ในอดีตมีต้นทุนที่สูง ปัจจุบันมีต้นทุนที่ต่ำลง เข้าถึงง่ายขึ้น
เมื่อก่อนคุณต้องป่วยแล้วจึงไปหาหมอ แต่ตอนนี้จีโนมิกส์ทำให้คุณสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่า ก่อนคุณป่วย คุณมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอะไร และวินิจฉัยโรคได้เฉพาะบุคคลมากขึ้นด้วย
ปัจจุบันยังมีโรคการแพทย์ปัจจุบันรักษาไม่ได้ แต่เทคโนโลยีจิโนมิกส์จะปลดล็อกเรื่องนี้ ปัจจุบันยังคงอยู่ในขั้นทดลองกับสัตว์ คาดว่า เตรียมออกสู่การใช้ในมนุษย์ในอนาคต พร้อมกับความต้องการของตลาดที่พร้อมอยู่แล้ว และคาดว่าจะเติบโตมากที่สุดในอุตสาหกรรมเฮลแคร์
ทำความเข้าใจกับธีมจีโนมิกส์ได้ที่นี่ สรุป Live: ถอดรหัสการลงทุนใน Genomics & Healthcare
คุณเผ่า: ถ้ามอง 5 ปี ภาพรวมของประเทศสามารถดูได้จาก GDP หรือการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งไทยน่าจะแพ้เวียดนาม เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตประมาณ +5 ถึง +6% ต่อปี ส่วนอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์สหรัฐฯ ก็มีโอกาสเติบโตได้เท่าๆ กัน
ดังนั้นถ้าต้องการกระจายความเสี่ยงมากหน่อย ก็ต้องเลือก Jitta Ranking เวียดนาม เพราะมีการลงทุนในหลายๆ อุตสาหกรรม ถ้าเป็น Jitta Ranking – U.S. Healthcar จะโฟกัสแค่อุตสาหกรรมเดียว ขึ้นอยู่กับว่า คุณอยากจะกระจายความเสี่ยงแบบไหนด้วย
คุณเผ่า: สำหรับ Thematic DIY เลือกได้สูงที่สุด 5 ธีม ถ้าคุณยังมีไม่ถึง 5 ธีม ก็เพิ่มเข้าไปได้ ถ้าลงธีมบริการสุขภาพ จะผันผวนน้อย วัดที่การเติบโตก็อาจจะไม่สูงมาก แต่ถ้าเป็นธีมบริการสุขภาพจีน เป็นธีมที่เติบโตสูงและผันผวนสูงด้วย
สำหรับคนที่มี 5 ธีมในพอร์ตแล้ว ก็ต้องดูว่า การเติบโตของ 5 ธีมในพอร์ตของคุณเป็นอย่างไร แล้วจัดพอร์ตตามความเหมาะสม สามารถเป็นธีมได้ไตรมาสละ 1 ครั้ง
คุณเผ่า: Thematic Optimize จะเลือกธีมที่มีการเติบโตของงบการเงินของบริษัทไส้ใน ETF จะมีการจัดอันดับการเติบโต รวมไปถึงความผันผวนของราคา นักลงทุนยังให้การตอบรับที่ดี และ AI จะเลือก 4 ธีมที่น่าลงทุนที่สุด มาจัดพอร์ตให้และปรับพอร์ตทุก 3 เดือน ตอนนี้ Jitta Wealth มีทั้งหมด 23 ธีม ณ มีนาคม 2565 คุณจะได้ธีมอะไร ขึ้นอยู่กับวันที่คุณลงทุน
คุณเผ่า: ถ้ายังมีคำถามว่า จะจัดพอร์ตอย่างไร ให้ลง Thematic Optimize ดีกว่า เพราะว่าคำถามเหล่านี้จะวนมาเรื่อยๆ ทุกครั้งที่คุณลงทุนว่า ต้องเปลี่ยนธีมหรือไม่ ต้องจัดพอร์ตใหม่หรือไม่ ธีมนี้ดีหรือยัง ดังนั้นถ้าไม่มั่นใจจัดพอร์ต Thematic DIY ให้ลงทุนในแผน Thematic Optimize
คุณเผ่า: การเปิดพอร์ตให้ลูก ควรเป็นนโยบายที่มีความเสี่ยงสูง เพราะว่า ลูกยังเติบโตและวัยยังรับความเสี่ยงได้ ควรเป็นแผนเติบโตของกองทุนส่วนบุคคล Global ETF เพราะออกแบบให้มีผลตอบแทนคาดหวังเฉลี่ย +8% ต่อปี
คุณลงทุนในนโยบายที่มีการเติบโตสูงขึ้นมากกว่านั้นได้ เช่น แผน Thematic Optimize ที่เป็นเมกะเทรนด์ มองว่า ลงทุนระยะยาวนานๆ คาดหวังผลตอบแทยเฉลี่ย +10% ต่อปี แต่ถ้าคุณมองว่า เศรษฐกิจของจีนกำลังเติบโต ก็สามารถเลือกแผน Jitta Ranking จีนได้
คุณควรมีมุมมองระยะยาว ตั้งคำถามกับตัวคุณเองก่อนว่า การลงทุนแบบไหนที่คุณรู้สึกสบายใจและปลอดภัยมากที่สุด
CEO ของ Jitta Wealth พร้อมตอบ ตลาดหุ้นยังน่าลงทุนอยู่ใช่ไหม