ทีมงาน Jitta Wealth เข้าใจความรู้สึกกังวลใจและหวาดหวั่นของคุณ เมื่อเห็นมูลค่าพอร์ตลงทุนลดลงในช่วงเดือนธันวาคม ต่อเนื่องมาจนถึงเดือนมกราคม เกิดจากความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ดัชนีหลักๆ อย่าง S&P500 ปรับลดลง มูลค่าหุ้นหลายๆ บริษัทลดลง ย่อมส่งผลต่อพอร์ตลงทุนของคุณเช่นเดียวกัน
จริงๆ แล้วความไม่แน่นอนของตลาดหุ้นเป็นธรรมชาติของการลงทุน แต่อุปสรรคชิ้นใหญ่ที่จะทำให้การลงทุนเป็นเรื่องยากและไม่ประสบความสำเร็จ คือ ภาวะจิตใจของนักลงทุนเอง เราจึงได้จัด Live ‘ปรับ Mindset ฝ่าวิกฤต พิชิตการลงทุน’ เพื่อมาฉายภาพวิธีคิดและรับมือ เมื่อคุณเห็นมูลค่าพอร์ตลงทุนลดลง จะปรับตัวปรับใจอย่างไร
โดยเชิญนักลงทุนผู้มีประสบการณ์แน่นปึก 2 ท่าน ได้แก่
และมีคุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO ของ Jitta Wealth เป็นผู้ดำเนินรายการ
คุณจิม: เมื่อตลาดผันผวนมักจะสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนหลายคนรวมถึงตัวผมด้วย นักลงทุนส่วนใหญ่ต้องการความชัดเจนว่า วิกฤตหรือความผันผวนที่เกิดขึ้นจะจบลงเมื่อใด อย่างไรก็ตามหากนักลงทุนมีความเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น อัตราเงินเฟ้อสูงเกิดขึ้นเพราะอะไร ทำไม Fed ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะทำให้นักลงทุนรู้ว่าจริงๆ แล้วสถานการณ์มันไม่ได้แย่จนเกินไป
ถึงแม้ภาพรวมจะยังคลุมเครืออยู่ แต่หากมีความเข้าใจและการติดตามข่าวสารจะทำให้คุณเห็นความชัดเจนจากความผันผวนที่เกิดขึ้นมากกว่าเดิม แน่นอนครับว่า ทุกคนมีความกังวล แต่เมื่อคุณเข้าใจและเห็นภาพที่ชัดเจน คุณจะสามารถปรับตัว และไม่วิตกกังวลถึงความผันผวนที่เกิดขึ้นในตอนนี้อย่างแน่นอน
คุณพีท: ผมมองว่าเมื่อคุณเตรียมตัวเตรียมใจมาดี และมีแนวทางการลงทุนที่ชัดเจน เมื่อเกิดวิกฤตหรือความผันผวน จะเป็นโอกาสที่คุณได้ทบทวนแนวทางลงทุนของคุณอีกครั้ง ซึ่งนักลงทุนต้องตอบคำถามว่า ‘คุณยังเชื่อมั่นกับแนวทางการลงทุนแบบนี้อยู่หรือไม่’ หากคำตอบคือใช่ จะทำให้คุณคลายความกังวลลง และมีใจที่แข็งแกร่งมากขึ้นในการลงทุน
คุณจิม: ขอเล่าย้อนกลับไปถึงวิกฤต Covid-19 ใน 2 ปีที่ผ่านมา เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แน่นอนว่าทุกคนจะเกิดความกลัวและความตกใจ สิ่งที่คุณควรทำอย่างแรกคือ ‘ตั้งสติและอยู่เฉยๆ’ อย่าเพิ่งตื่นตูมมากจนเกินไป เพราะจะทำให้คุณใช้อารมณ์ในการจัดการพอร์ตของคุณ สิ่งที่ผมคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอคือ ‘ถ้าคิดไม่ออก ให้นั่งอยู่เฉยๆ’
จากนั้นค่อยลองไปหาข้อมูลว่า เคยมีวิกฤตที่คล้ายๆ กันนี้เกิดขึ้นในอดีตหรือไม่ อย่างวิกฤต Covid-19 จะคล้ายกับการแพร่ระบาดของ Spanish Flu ในอดีต ซึ่งเป็นไปได้ว่าวิกฤตดังกล่าวอาจผ่านพ้นไปได้คล้ายๆ กัน จากนั้นเมื่อคุณมีความเข้าใจมากขึ้น ค่อยตัดสินใจอีกครั้งว่าจะทำยังไงกับพอร์ตลงทุนของคุณ
อย่างผมตั้งเวลาเอาไว้ว่า หากวิกฤตดังกล่าวยังไม่จบ จะเริ่มปรับพอร์ตช่วงเดือนกุมภาพันธ์ในปี 2564 โดยดูข้อมูลและทำการบ้านว่า หุ้นและ ETF (Exchange Traded Fund) ไหนจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตดังกล่าว การปรับพอร์ตจะทำให้คุณมีความสบายใจในการลงทุนมากขึ้น ผมมองว่าวิกฤต Covid-19 ยังไงมันต้องมีวันจบลง แต่คุณแค่ไม่รู้ว่ามันจะจบเมื่อไร
เมื่อเกิดวิกฤตในบางครั้ง จะทำให้คุณสามารถอ่านอารมณ์ตลาดหุ้นได้อีกด้วย เมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อถึงจุดสูงสุด คุณคาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นในตอนนั้นมีความกลัวสูงที่สุด ทำให้ราคาหุ้นในช่วงเวลานั้นจะมีราคาถูกมาก คุณอาจจะคว้าโอกาสจากจุดนั้นและสร้างผลตอบแทนที่ดีได้
อย่างไรก็ตาม คุณควรต้องถามตัวเองอยู่เสมอว่า ความผันผวนในระยะสั้นที่เกิดขึ้น จะทำให้มูลค่าหรือพื้นฐานของธุรกิจหรือสินทรัพย์ที่คุณลงทุนเปลี่ยนไปในระยะยาวหรือไม่ หากสินทรัพย์ที่คุณลงทุนดีจริง ราคามันจะตกลงเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น
คุณพีท: คุณต้องถามตัวเองก่อนว่า คุณมีแนวทางการลงทุนแบบไหน เช่น เทรดเดอร์ หรือ VI แต่ผมจะมาพูดถึงหลักการลงทุนระยะยาว หากคุณติดตามข่าวสารมาก ผมมองว่า มันกลับเป็นการเพิ่มสิ่งรบกวนจิตใจคุณ คุณไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์กับข่าวหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมากจนเกินไป
คุณควรตั้งสติและยึดมั่นกับแนวทางการลงทุนของตัวเอง หากคุณมั่นใจในหลักการลงทุนอยู่แล้ว คุณก็จะลงทุนได้อย่างสบายใจ ผมมองว่า คนเราควรมีอารมณ์แบบ ‘พอดี’ ไม่มั่นใจจนเกินไปเวลาตลาดหุ้นขึ้น หรือวิตกกังวลจนเกินไปในช่วงตลาดหุ้นตก
คุณควรปรับอารมณ์ให้เหมาะสม และเรียนรู้ว่าความผันผวนหรือวิกฤตดังกล่าวเป็นความผันผวนประเภทใด หากเป็นเพียงแค่ความผันผวนระยะสั้น คุณก็ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลมากเกินไป อย่างที่บอกว่า ‘ความพอดี คือดีที่สุด’ และจะทำให้คุณรับมือกับวิกฤตดังกล่าวได้อย่างมั่นคง
คุณเผ่า: ในช่วงวิกฤต Covid-19 คุณจะได้เห็นว่า ทุกคนขยันมากในการหาข้อมูลเพื่อลงทุน ถ้าคุณเป็นนักลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว ต้องพบเจอกับวันที่หุ้นตกหนัก อย่างไรก็ตามทุกคนรู้ว่า ‘เวลานี้จะผ่านไป’ หากคุณเลือกลงทุนในตลาดหุ้น ยังไงคุณต้องพบเจอกับวิกฤตหรือความผันผวนแบบนี้อยู่แล้ว ซึ่งคุณควรมีความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ว่า มันเป็นธรรมชาติของตลาดหุ้น
นอกจากนี้คุณควรมีความเข้าใจว่า ตลาดหุ้นไม่ได้ขึ้นหรือลงเป็นเส้นตรง แต่มันจะขึ้นๆ ลงๆ ตามเศรษฐกิจและอารมณ์ของนักลงทุนในช่วงเวลานั้น หากคุณมีความโลภหุ้นก็จะขึ้น หากคุณมีความกลัวหุ้นก็จะลง ตามสถิติได้บอกว่าในช่วงระยะเวลา 10 ตลาดหุ้นจะขึ้นในช่วง 6-7 ปี และลงในช่วง 3-4 ปี เพราะฉะนั้นคุณไม่ควรจะกลัวตลาดที่ปรับตัวลง จนมากเกินไป และหากเลือกลงทุนในระยะยาวคุณ จะพบกับตลาดหุ้นที่ขึ้นมากกว่าลง
เมื่อคุณรู้และเข้าใจข้อมูลตรงนี้ คุณจะเริ่มมีความกล้าในการลงทุนมากยิ่งขึ้น และอดทนถือหุ้นจนผ่านพ้นช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นผันผวนไปได้ และสุดท้ายคุณจะมีวิธีเอากำไรกลับคืนมาในช่วงตลาดขาขึ้น และหากแนวทางการลงทุนของคุณถูกต้อง คุณจะสร้างกำไรได้เอง
คุณพีท: เมื่อคุณมองถึงเรื่อง ‘จิตวิทยา’ และ ‘การลงทุน’ หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นคนละเรื่องกัน แต่ต้องบอกว่ามันมีความสัมพันธ์กันมากกว่าที่คิด หากคุณตั้งเป้าจะลงทุนระยะยาว คุณจำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งของจิตใจ หมั่นทำการบ้านอยู่เสมอ ตรวจเช็คแนวทางการลงทุนของตัวเอง และหลีกเลี่ยงจากข่าวต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นในระยะสั้นและอารมณ์ของคุณ
หากคุณนำตัวเองไปผูกกับอารมณ์จนมากเกินไป จะทำให้คุณเกิดความกลัวที่จะลงทุน เช่น เมื่อคุณเคยขาดทุนจากการลงทุนในหุ้นบริษัทหนึ่ง จะทำให้คุณเกิดความกลัวที่จะลงทุนในหุ้นนั้นอีกครั้ง ถึงแม้ว่าพื้นฐานหุ้นดังกล่าวจะดีมาก หรือมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง แต่อารมณ์จะกันคุณไม่ให้ซื้อหุ้นนั้นได้
จงจำเอาไว้เสมอว่า ‘การตัดสินใจที่พลาดไป 1 ครั้ง ไม่ได้หมายความว่า คุณจะพลาดในครั้งต่อไป’ เรื่องราวและความผันผวนที่เกิดขึ้นเป็นปัจจัยต่างๆ ที่คาดไม่ถึง และไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ อย่างที่ย้ำเสมอ หากคุณมั่นใจในหลักการการลงทุนของคุณ จะทำให้จิตใจคุณเข้มแข็งและสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับการลงทุนของคุณ
คุณเผ่า: หากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายคือ เมื่อคุณซื้อหุ้นและสามารถทำกำไรได้ ก็มีโอกาสที่คุณจะลงทุนในหุ้นหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะคุณรู้สึกว่าคุณเก่งและคิดว่าสิ่งที่คุณลงทุนถูกต้อง แต่ในบางครั้งคุณก็จะเจอกับช่วงที่คุณลงทุนและราคาหุ้นก็ตกลงมาเรื่อยๆ จะทำให้คุณเกิดความกลัวและไม่กล้าลงทุนในหุ้น
คุณควรแยกสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นออกไป การลงทุนแต่ละครั้งจะไม่เกี่ยวข้องกัน หากคุณตัดสินใจผิดครั้งที่แล้ว ไม่ได้แปลว่าคุณจะตัดสินใจผิดในครั้งนี้ด้วย ถ้าสภาพแวดล้อมทุกอย่างบอกว่า ในช่วงเวลานี้มันตรงกับหลักการลงทุนของคุณ คุณก็ควรจะลงทุน และสุดท้ายค่อยกลับไปดูว่ากำไร หรือขาดทุนมันเกิดขึ้นเพราะอะไร
แน่นอนว่าคุณอาจจะเลือกลงทุนในหุ้นได้ถูกต้องหมดทุกบริษัท แต่กลับเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น เช่น Covid-19 ปัญหาสัมปทาน Fed ขึ้นดอกเบี้ย หรือปัจจัยต่างๆ ที่คาดไม่ถึง และไม่มีใครสามารถคาดการณ์ก่อนได้ ฉะนั้นก่อนจะลงทุน คุณต้องเตรียมใจรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นให้ได้ และค่อยกลับมามองอีกครั้งว่าสิ่งที่คุณลงทุนไป มันตรงกับหลักการลงทุนของคุณหรือเปล่า
คุณจิม: จิตวิทยาและการลงทุนมีความเกี่ยวข้องกันอยู่ หากคุณมีแนวทางการลงทุนที่ดี แต่เมื่อ Mindset คุณไม่มั่นคงก็สามารถทำให้คุณขาดทุนได้เช่นเดียวกัน นักลงทุนที่ดีควรมีจิตใจที่เข้มแข็ง และสามารถควบคุมอารมณ์และจิตใจของตัวเอง จะทำให้การลงทุนของคุณดียิ่งขึ้น
แน่นอนว่าทุกวันนี้นักลงทุนหลีกเลี่ยงข่าวสารต่างๆ ได้ค่อนข้างลำบาก เพราะมีข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย และในอินเทอร์เน็ตมากมาย ทำให้จิตใจของคุณไขว้เขวได้ นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะพยายามหาข้อมูล เพื่อมายืนยันว่าตัวเองคิดถูกต้อง
โดยปกตินักลงทุนมักจะหยิบข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจ หลังจากที่ราคาหุ้นขึ้นไปแล้ว โดยไม่วิเคราะห์ให้ละเอียดถี่ถ้วน จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้พอร์ตลงทุนติดลบได้ เพราะฉะนั้นหากคุณไม่ใช้อารมณ์ แต่ใช้เหตุผลในการตัดสินใจ จะทำให้ผลตอบแทนของพอร์ตแข็งแกร่งเอง
คุณจิม: ผมเข้าใจว่า มันเป็นเรื่องยากที่คุณจะขายตัดขาดทุนออกไป แต่สิ่งที่นักลงทุนควรทำ คือ กลั้นใจและตัดใจขายไปให้ได้ หรือหากไม่สามารถทำใจขายได้จริงๆ คุณอาจจะแบ่งขายออกเป็นส่วนๆ เช่น ขายครั้งละ 30% ของพอร์ตไปเรื่อยๆ จนหมด
แล้วหลังจากนั้นคุณค่อยตัดสินใจอีกทีว่า คุณจะกลับเข้ามาลงทุนตอนไหน คุณไม่จำเป็นต้องคิดมากว่า ‘หากหุ้นที่ขายไปกลับขึ้นมาอีกครั้งจะทำอย่างไร’ เพราะจะทำให้ไม่กล้าขายหุ้นบริษัทนั้นออกไป หากคุณมีแผนการขายและกลับมาลงทุนที่ชัดเจน จะช่วยให้คุณตัดสินใจขายหุ้นที่ขาดทุนได้ง่ายมากขึ้น
คุณเผ่า: ในระยะสั้นตลาดหุ้นอาจจะแสดงออกไปตรงกันข้ามกับเหตุและผล ผมเคยลงทุนในหุ้นบริษัทหนึ่งที่ราคาตกลงมาประมาณ 50% และตัดใจขายไป รู้ว่าตัดสินใจผิดและมีข้อมูลที่ชัดเจน แต่เมื่อขาย ราคาหุ้นกลับเด้งขึ้นมาที่ 10-20% ทำให้รู้สึกไม่ดีอยู่เหมือนกัน แต่ถ้ามองไปที่ภาพรวมของธุรกิจ ผมก็มองไม่เห็นเหมือนกันว่า หุ้นบริษัทนั้นจะกลับขึ้นมาได้อย่างไร
สิ่งที่คุณควรมองและตอบคำถามตัวเองให้ได้ คือ ‘ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ธุรกิจนั้นจะยังดีอยู่ไหม’ แน่นอนว่าถ้าธุรกิจยังดี ราคาหุ้นจะกลับขึ้นมาได้ แต่ถ้าธุรกิจแย่ สุดท้ายราคาหุ้นก็จะปรับตัวลง สิ่งที่ทำให้คุณตัดใจขายได้ง่ายที่สุด คือ เมื่อขายแล้ว อย่าไปดูมันอีกเลย ซึ่งหลายปีผ่านมา ผมกลับไปดูหุ้นบริษัทนั้นอีกครั้ง และพบว่า ราคาหุ้นตกไปอีก 90% และถูกถอดออกจากตลาดหุ้นไปแล้ว
ทำให้คุณรู้ว่า หากคุณตัดสินใจจากมุมมองระยะสั้น มีโอกาสที่คุณจะตัดสินใจผิดได้สูง แต่ถ้าคุณตัดสินใจจากมุมมองระยะยาว จะทำให้พบว่า การขายหุ้นออกไปตอนนี้ ยังดีกว่าสูญเสียเงินอีกมหาศาล อย่าใส่ใจกับตลาดระยะสั้นมาก เพราะมันจะขึ้นอยู่กับอารมณ์ของนักลงทุนส่วนใหญ่ แต่ในระยะยาว ราคาหุ้นจะปรับตัวกลับสู่มูลค่าที่แท้จริงเสมอ
จงอยู่กับปัจจุบันและถามตัวเองว่า ‘หากวันนี้คุณไม่ได้ถือหุ้นบริษัทนี้ คุณจะซื้อมันในวันนี้หรือไม่’ ถ้าข้อมูลทุกอย่าง บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า คุณไม่ควรถือหุ้นบริษัทนี้ ก็ถึงเวลาที่คุณจะขายหุ้นออกไป ซึ่งมันจะทำให้คุณชนะกับดักจิตใจของคุณได้ จงพยายามใช้เหตุผลให้มากกว่าจิตใจในการตัดสินใจเรื่องการลงทุน
คุณพีท: ถ้าคุณอ่านหนังสือจิตวิทยาหรือประวัติศาสตร์ ความกลัวความเสี่ยง เป็นเรื่องของสัญชาตญาณของมนุษย์อยู่แล้ว ความกลัวมีไว้ให้คนและสัตว์ปลอดภัย ทำให้คุณระมัดระวังตัวมากขึ้น
ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากสัตว์อื่นๆ คนบุกเบิกการรับความเสี่ยงได้ เริ่มออกไปล่าสัตว์ ออกไปจากหมู่บ้าน ออกไปเป็นนักเดินทาง ซึ่งถ้ามองในมุมนี้ ก็คือ ความกล้าเสี่ยงจะทำให้คุณพัฒนาก้าวไปข้างหน้าได้
แต่คุณจะจัดการกับความเสี่ยงนี้ได้อย่างไร คุณต้องใช้ความกลัว ความระมัดระวัง ความรอบคอบ มาทำให้คุณจัดการความเสี่ยงได้ดี อุดรอยรั่วและประเมินสิ่งที่จะเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่แย่ที่สุดได้
คุณพีท: มักจะกลับมาที่หลักการเดิมๆ คือ การบริหารจัดการความเสี่ยงด้วยการถือหุ้นให้เยอะที่สุด และทำการบ้านมาให้ดี เหมือนที่ Warren Buffett ทำอยู่ตลอด
คุณจิม: การจำกัดความเสี่ยงคือ การลงทุนในสิ่งที่คุณรู้จริงเท่านั้น ถ้าคุณลงทุนในสิ่งที่คุณรู้จักก่อน โอกาสที่คุณจะขาดทุนก็จะน้อยลงตาม Warren Buffett จะบอกเสมอว่า Make things simple คุณไม่จำเป็นต้องลงทุนหุ้นทุกบริษัท เลือกอะไรที่มันง่ายและคุณเข้าใจ ความเสี่ยงจะลดลงไปเรื่อยๆ เมื่อความรู้ของคุณมีเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน
คุณเผ่า: Buffett จะลงทุนเยอะในธุรกิจที่เขาเข้าใจเท่านั้น และถ้ามันยิ่งถูกมากกว่ามูลค่าจริงที่มันควรจะเป็นเขาก็จะยิ่งลงทุนเยอะ แต่ถ้าจะให้พูดมันก็ดูง่าย นักลงทุนที่ดี จะเข้าใจตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะไม่ต้องซื้อขายกันบ่อย แต่รอจังหวะที่ใช่ของคุณดีกว่า รอเวลาที่หุ้นบริษัทที่คุณรู้จักดี มีราคาที่ถูกกว่าความเป็นจริง นั่นอาจจะเป็นจังหวะที่ดีของคุณในการลงทุนก็ได้
คุณพีท: ถ้าคุณไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่หรือไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรให้อยู่เฉยๆ ก่อน เอาข้อมูลทุกอย่างมาวางไว้บนโต๊ะให้ได้ และคิดให้รอบคอบ ใจเย็นๆ ค่อยๆ คิด มองในความเป็นจริงให้ได้ว่า ในตอนที่คุณจะซื้อจริงๆ ราคาหุ้นต่ำหรือถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริงหรือไม่ หรือถ้าทนไม่ไหวจริงๆ คุณอาจจะลองแบ่งเงินทุนเพื่อเข้าซื้อไปก่อน และมันอาจจะเป็นบทเรียนให้กับคุณก็ได้ ประสบการณ์จะสอนให้คุณดีขึ้นในทุกๆ วัน
คุณเผ่า: การจดบันทึกว่า คุณซื้อหุ้นบริษัทนี้เพราะอะไร ขายเพราะอะไร ทำไมถึงขาดทุน การจดบันทึกแบบนี้ จะช่วยให้คุณเพิ่มกฎของคุณในการซื้อขายหุ้นได้มากขึ้นด้วย เช่น ครั้งต่อไปคุณควรทำแบบนี้นะ คุณควรคิดแบบนี้ การจดบันทึกจะช่วยสะท้อนความคิดของคุณ และจะทำให้คุณเข้าใจตัวเองมากขึ้น การควบคุมอารมณ์และอคติต่างๆ จะดีขึ้นเอง
ยิ่งคุณจดเยอะ หรือฟังคนอื่นพูดหลักการต่างๆ อ่านหนังสือ เมื่อคุณต้องเจอสถานการณ์ที่ยากลำบาก คุณจะเหมือนมีคนมากระซิบว่า สถานการณ์แบบนี้คุณควรจะทำอย่างไร ถ้านึกอะไรไม่ออกก็ตั้งสติและออกไปอ่านที่คุณจด แล้วหาว่า ที่คุณพลาดแบบนี้เป็นเพราะอะไร ถ้าคุณอยู่ในตลาดหุ้นคุณพลาดได้เสมอ เพราะฉะนั้นพยายามดึงตัวเองออกมาอยู่นอกตลาดหุ้นและใช้ความคิดของคุณให้รอบคอบ
Buffett บอกว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการเล่นเบสบอลไม่ได้อยู่ที่คะแนน แต่อยู่ที่ว่า เขาเล่นกันอย่างไร ถ้าทีมไหนเล่นบนสนามได้ดีสุดท้ายจะชนะเอง การจ้องคะแนนอยู่ตลอดไม่ได้ช่วยอะไร
การลงทุนในตลาดหุ้น คุณควรโฟกัสในสิ่งที่คุณควบคุมได้ และคุณรู้ว่าจะดีหรือไม่ดี Buffett ไม่ได้สนใจปัจจัยระยะสั้นที่จะทำให้หุ้นของเขาขึ้นหรือลง แต่มุมมองของเขาคือ หุ้นพื้นฐานดี ราคาเหมาะสม ถ้าเป็นแบบนี้เขาจะลงทุนเพราะเขาเชื่อว่า มันจะก้าวข้ามผ่านความผันผวนระยะสั้นต่างๆ ไปได้
อีกเรื่องคือ กำไรหรือขาดทุนในตลาดหุ้น มันมาจากทั้งทักษะการลงทุนของคุณ และปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่คุณควบคุมไม่ได้ ต้องแยกให้ออก สิ่งที่คุณควรพัฒนาคือทักษะในการเลือกหุ้น การควบคุมความเสี่ยง และความน่าจะเป็นให้ดี
ผลลัพธ์เป็นเรื่องของตลาดหุ้น แต่สุดท้ายธุรกิจที่ดี ความน่าจะเป็นของตลาดหุ้นคือ คุณก็จะมีกำไรมากกว่าขาดทุนอยู่แล้ว และเมื่อขาดทุนก็อย่าคิดอะไรมาก เพราะมันคือส่วนหนึ่งของการลงทุน โดยเฉพาะถ้าการขาดทุนนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับทักษะคุณเลย
คุณจิม: มันเหมือนเป็นการฝึก ฝึกบ่อยๆ ทำให้คุณรับความเป็นจริงได้ ผิดพลาดได้ก็เป็นบทเรียน
คุณพีท: การกลับมารีวิวสิ่งที่คุณจดบันทึก ทำเป็นบทเรียนเอาไว้ จะทำให้คุณรู้ว่ามันมีเหตุและผลอย่างไรบ้าง
คุณเผ่า: Buffett พูดเอาไว้ว่า คุณจะรู้ว่าใครแก้ผ้าว่ายน้ำก็ต่อเมื่อน้ำลด ตอนหุ้นขึ้น ทุกคนกล้าเป็นเซียนหุ้นหมด แต่ตลาดหุ้นไม่ได้มีแค่ขาขึ้น แต่มีขาลงด้วย ช่วงตลาดขาลงคุณก็ต้องอยู่รอดให้ได้ เมื่อหุ้นขึ้นคุณต้องเริ่มมีสติว่า ต้องไม่ประมาท ต้องระวังตัว อย่ามั่นใจมากเกินไป
คุณจิม: ผมเคยเป็นในช่วงที่ลงทุนแรกๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็จะรู้สึกเองว่า จริงๆ ผมไม่ได้เก่ง ถ้าคุณมั่นใจมาก มันจะมีหุ้นบางบริษัทที่คุณรู้สึกว่า ดีมากๆ ต่อให้คุณวิเคราะห์มารอบด้านแล้ว แต่ก็อย่าลืมว่าสุดท้ายมันก็มีจุดที่คุณพลาดได้ ยิ่งคุณเจอเหตุการณ์ความผิดพลาด มันจะยิ่งลดอีโก้ของคุณลงมาเรื่อยๆ
คุณจิม: ปกติจะมี 2 แบบแบบเป็นสมุดกับ Powerpoint ผมพยายามที่จะสรุปในแต่ละวันว่าวันนี้ตลาดเป็นอย่างไร เพื่อให้รู้ความเคลื่อนไหวจะได้เห็นภาพรวมของตลาด มีเหตุและผลอย่างไร ดูภาพใหญ่และเล็กลงเรื่อยๆ และมาดูที่พอร์ตลงทุนว่า ในแต่ละวันมีการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง พื้นฐานเปลี่ยนหรือไม่ และจดเหตุการณ์ที่ดีที่สุด 3 อย่างและแย่ที่สุด 3 อย่างของวันนี้
คุณจะค่อยๆ เห็นว่า หุ้นขึ้นเพราะอะไร ทำไมมันถึงลง เป็นเหตุเป็นผลและบทเรียนให้กับคุณ สิ่งที่คุณจะทำ และสิ่งที่คุณจะไม่ทำต่อไปคืออะไร
คุณเผ่า: ผมจะมองว่า ซื้อหุ้นบริษัทนี้เพราะอะไร มีความสามารถในการแข่งขันอย่างไร และจะมองออกมากขึ้นว่า หุ้นบริษัทนี้จะมีอนาคตอย่างไรบ้าง จดเข้าไป ตอนขายก็เช่นเดียวกัน ขายเพราะอะไรคุณจะเห็นเหตุผลในการซื้อขาย คุณจะเรียนรู้ว่า ท่าไม้ตายของคุณคืออะไร หลังจากนั้นการลงทุนจะง่ายขึ้นเยอะ แบบฟอร์มไม่ได้สำคัญ แต่ขอให้เริ่มทำ
คุณพีท: กลับไปที่หลักการว่า คุณเป็นนักลงทุนประเภทไหน คุณลงทุนในหุ้นบริษัทนี้เพราะอะไร ถ้าคุณเป็นนักลงทุนระยะยาว กลับมาดูที่ปัจจัยพื้นฐานดีกว่าว่า มันใช่จังหวะที่คุณจะลงทุนแล้วหรือยัง
คุณจิม: คุณไม่สามารถกะเกณฑ์ตลาดได้ ว่ามันจะขึ้นหรือลง คุณต้องรู้ว่า หุ้นที่คุณจะลงทุนในอนาคตข้างหน้า จะเป็นอย่างไร เขามีแผนธุรกิจอย่างไร คุณกะเกณฑ์ ช่วงเวลาธุรกิจได้ แต่คุณไม่สามารถกะเกณฑ์เวลาของตลาดได้ คุณควรเริ่มลงทุนในจังหวะที่มันควรเริ่มลงทุน หุ้นแต่ละตัวมีเวลาของมัน
คุณเผ่า: ถ้าสุดท้ายบริษัทที่คุณเลือกดีจริง ท้ายที่สุดแล้วมันก็จะมีเวลาของมัน ยึดที่หลักการ ดูข้อเท็จจริง คิดวางแผน ทำตามแผนของคุณไป แล้วถ้าแผนของคุณถูกต้อง มันก็จะพาคุณผ่านช่วงเวลาที่ตลาดผันผวนและเติบโตไปได้เอง
คุณจิม: คุณต้องรู้ก่อนว่า สิ่งที่คุณจะ DCA มันคืออะไร คุณต้องพยายามเลือกหุ้นที่มันจะขึ้นไปได้ในอนาคตจริงๆ เรื่อยๆ หุ้นที่มีพื้นฐานดี มั่นคงและแข็งแรง และอย่าลืมว่า ต้องรีวิวตลอดว่า คุณต้องปรับเปลี่ยนแผนการอย่างไร อย่าอดทนในสิ่งที่มันผิด ถ้าทิศทางผิด อย่างไงผลลัพธ์มันก็ผิด
คุณเผ่า: DCA ใช้ได้จริง แต่ต้องตอบให้ได้ก่อนว่าคุณ DCA ในสินทรัพย์อะไร DCA ที่ถูกต้องคือ DCA ในธุรกิจที่ระยะยาวมันเป็นขาขึ้น ต่อให้บางช่วงจะผันผวน อย่า DCA ทรัพย์สินที่ผิด และคุณจะสามารถเอาชนะอารมณ์ได้ด้วย เพราะคุณมีแผนการ คุณแค่ทำตามแผน
คุณพีท: ผมสนับสนุนนะครับ เพราะการ DCA จะช่วยบริหารความเสี่ยง และอารมณ์ของคุณได้
นี่คือ สรุป Live: ปรับ Mindset ฝ่าวิกฤต พิชิตการลงทุน ที่ทีมงาน Jitta Wealth ตั้งใจนำเสนอ เพื่อที่คุณจะเข้าใจและรับมือกับความผันผวนของตลาดหุ้นปี 2565 ได้ หากคุณสนใจหลักการลงทุนระยะยาวของเรา สามารถเข้าไปศึกษาได้ที่เว็บไซต์ หรือสอบถามเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนได้ที่ Line ID: @JittaWealth