Jitta Wealth Journal - เปิดโผหุ้น Defensive พร้อมชนเงินเฟ้อ

ส่องความเห็นกูรูทั่วโลก เงินเฟ้อสหรัฐฯ น่ากลัวแค่ไหน?

Jitta Wealth Journal ปีที่ 2 ฉบับที่ 81 ประจำวันที่ 14 มิถุนายน 2565 ทีมงานย่อยข่าวเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกมาเสิร์ฟให้คุณแล้ว ดังนี้

  • แบงก์ชาติปรับอัตราเงินเฟ้อไทยปี 2565 พุ่ง +6.2% 
  • ส่องความเห็นนักวิเคราะห์ทั่วโลกต่อเงินเฟ้อสหรัฐฯ 
  • รัฐบาลจีนคลายมาตรการหุ้นเทค ดันตลาดหุ้นสดใส 3 วันติด 
  • Ant Group บริษัทลูก Alibaba เตรียมเข้า IPO อีกครั้ง
  • BYD โตกระฉูด ขึ้นแท่นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 3 ของโลก 
  • Apple บุกตลาดฟินเทค ก่อตั้งบริษัท Apple Financing 
  • Dragon Capital ชี้ถึงเวลาลงทุนหุ้นเวียดนามแล้ว 

ไปติดตามกันได้เลย


ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลก

สหรัฐอเมริกา

ภาพรวมดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ดัชนียังเป็นขาลงเมื่อดูจากความเคลื่อนไหวแบบรายสัปดาห์ แบบ MTD (Month-to-Date) แบบ 3 เดือนและแบบ YTD (Year-to-Date) 

ดัชนีเงินเฟ้อ (Consumer Price Index) สหรัฐฯ ออกมาที่ +8.6% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ +8.3% ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง และเป็นสัญญาณว่าเงินเฟ้อยังไม่แตะจุดสูงสุด

  • S&P500 1 สัปดาห์ (-5.05%) MTD (-5.60%) 3 เดือน (-8.42%) และ YTD (-18.16%)
  • DJIA 1 สัปดาห์ (-4.58%) MTD (-4.85%) 3 เดือน (-5.37%) และ YTD (-13.61%)
  • NASDAQ 1 สัปดาห์ (-5.60%) MTD (-6.14%) 3 เดือน (-13.63%) และ YTD (-27.52%)

ข้อมูลจาก S&P Capital IQ ณ 10 มิถุนายน 2565

เอเชีย

ทางด้านตลาดหุ้นฝั่งเอเชีย ตลาดหุ้นจีนมีแรงซื้ออย่างต่อเนื่อง เม็ดเงินซื้อสุทธิไหลเข้าหุ้น A-share อยู่ที่ 4,607 ล้านหยวน มีสถานะซื้อสุทธิเป็นบวกติดต่อกันหลายวัน หลังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และสถานการณ์บริษัทเทคโนโลยีจีนดีขึ้น

ด้วยอานิสงส์ผ่อนคลายล็อกดาวน์ในจีน ส่งผลดีต่อดัชนีตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชียปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นในเอเชียยังได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

  • CSI300 1 สัปดาห์ (+3.65%) MTD (+3.60%) 3 เดือน (-1.25%) และ YTD (-14.20%)
  • SET 1 สัปดาห์ (-0.91%) MTD (-1.85%) 3 เดือน (-0.88%) และ YTD (-1.51%)
  • VNI 1 สัปดาห์ (-0.30%) MTD (-0.67%) 3 เดือน (-13.18%) และ YTD (-14.30%)

ข้อมูลจาก S&P Capital IQ ณ 10 มิถุนายน 2565


Jitta Ranking

บันทึกพอร์ต Jitta Ranking ของหนูไอวี่ อายุ 5 ขวบ

พอร์ตลงทุนจริงที่ทุกคนรอคอย น้องไอวี่ลูกสาวของคุณเผ่า ตราวุทธิ์ เขียนบันทึกพอร์ต Jitta Ranking ลงทุนหุ้นไทยมาตลอด 5 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวอย่างโชกโชน แต่ผลตอบแทนรวมได้ +31.96% ถ้าคุณอยากรู้ว่า คุณเผ่าบอกเคล็ดลับอะไรลูกสาวบ้าง 

อ่านต่อ


เศรษฐกิจไทย 

แบงก์ชาติปรับอัตราเงินเฟ้อไทยพุ่ง +6.2% 

ดร.ปิติ ดิษยทัต เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ให้ความเห็นถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อไทย ชี้ตัวเลขล่าสุดออกมาสูงเกินกว่าที่คาด โดยตัวเลขเงินเฟ้อในเดือนพฤษภาคม 2565 อยู่ที่ +7.1% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2564 พร้อมปรับเพิ่มตัวเลขประมาณการเงินเฟ้อปี 2565 เป็น +6.2% 

อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นจากฝั่งอุปทานและราคาพลังงาน และมีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะยาว รวมไปถึงราคาสินค้าในโหมดอาหารสดก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน และ กนง. เชื่อว่า อัตราเงินเฟ้อที่เกิดจากฝั่งอุปทานจะทยอยปรับตัวลงในปี 2566

อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อ ณ ปัจจุบันยังไม่ใช่จุดสูงที่สุดของปีนี้  โดย กนง. คาดว่า เงินเฟ้อจะแตะจุดสูงสุดช่วงไตรมาสที่ 3 แต่ตัวเลขจะไม่ถึง 2 หลัก จากนั้นจะทยอยปรับลดลงตามการผลิตน้ำมันดิบที่คาดว่า จะมีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้นตามความต้องการในตลาดโลก ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันดิบลดลง

อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ กลยุทธ์การลงทุนในช่วงอัตราเงินเฟ้อคือ การลงทุนต่อไป 

ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าเก็บ ‘หุ้นดีราคาถูก’ จากอัตราเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อให้ราคาหุ้นของบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดีได้ปรับตัวลดลงไป ทั้งที่บริษัทยังมีอำนาจในการต่อรองผู้บริโภคสูง และไม่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อเท่าไรนัก

ทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ แต่ไม่ใช่ว่าในวิกฤตนี้จะไม่มีโอกาสอยู่ คุณสามารถเลือกจัดพอร์ตลงทุนในหุ้น Defensive ที่มีความผันผวนต่ำกว่าหุ้นอื่นได้ เป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็เป็นที่ต้องการเสมอ อย่างหุ้นสุขภาพ และหุ้นสินค้าจำเป็น 

แผนลงทุน Jitta Ranking สุขภาพสหรัฐฯ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แน่นอนว่า ลงทุนในหุ้นทนทานต่อสภาวะเงินเฟ้อ อยู่บนพื้นฐานของปัจจัย 4 ซึ่ง Jitta Wealth พาคุณไปลงทุนในประเทศเจ้าตลาดเฮลท์แคร์เบอร์ 1 ของโลกอย่างสหรัฐฯ 

ที่เจ๋งไปกว่านั้น คือ AI และอัลกอริทึมจะสแกนหา ‘หุ้นดีมีโอกาสเติบโต’ ในกลุ่มเฮลท์แคร์ที่อยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เลือกหุ้นเหล่านั้นมาจัดพอร์ตให้คุณตั้งแต่ 5-30 บริษัท ปรับพอร์ตอัตโนมัติทุก 3 เดือน คุณมั่นใจได้เลยว่า หุ้นเฮลท์แคร์ในพอร์ตเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานกิจการแข็งแกร่ง และมีอำนาจต่อรองในตลาดสูง

สุดท้ายแล้วภาวะเงินเฟ้อผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เป็นวัฏจักร หุ้นเติบโตราคาถูกที่คุณสะสมในช่วงเวลานี้จะสร้างผลตอบแทนได้ดีในอนาคต หากคุณยังยึดมั่นกับหลักการลงทุนที่ถูกต้อง ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นเป็นเพียงผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น 


Jitta Wealth

จับอารมณ์ตลาดหุ้น ด้วยงานปาร์ตี้ 

การจับจังหวะการเข้าซื้อและขายหุ้นเป็นเรื่องยากสำหรับนักลงทุน ยิ่งในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นหมีซึมเศร้าก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ทฤษฎี Cocktail Party เป็นอีกทฤษฎีที่แสนเรียบง่ายที่จะช่วยให้คุณประเมินโอกาสเข้าซื้อและขายหุ้นได้ง่ายขึ้น 

อ่านต่อ


เศรษฐกิจสหรัฐ

ส่องความเห็นนักวิเคราะห์ทั่วโลก ต่อเงินเฟ้อสหรัฐฯ

กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคม 2565 ที่ +8.6% นับเป็นจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 40 ปี ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงอย่างหนัก เพิ่มความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะใช้ยาแรงเพื่อรับมือเงินเฟ้อ

Jitta Wealth สรุปความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ทั่วโลกเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงของสหรัฐฯ ที่ประเมินสถานการณ์ไปในทิศทางเดียวกัน เช่น

  • Gregory Faranello จาก AmeriVet Securities มองว่า เงินเฟ้อยังไม่ถึงจุดสุงสุดและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.5% จะถูกพิจารณาในการประชุมทุกรอบในปีนี้
  • David Petrosinelli จาก InspereX มองว่า ตลาดกำลังตอบสนองต่อเงินเฟ้อและเส้นผลตอบแทนพันธบัตรจะแบนราบลง ซึ่งสะท้อนว่า Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยมากกว่านี้ เพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจชะลอตัว
  • Pramod Atluri จาก Capital Group’s Alturi มองว่า หนทางในการลดอุปสงค์ในตลาดคือเพิ่มอัตราการว่างงาน แต่การทำแบบนี้อันตรายมาก
  • Aleksander Kocic จาก Deutsche Bank มองว่า ถ้าอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง อัตราดอกเบี้ยค่ากลาง (Natural Rate of Interest) จะต้องสูงขึ้นด้วย
  • Sal Guatieri จาก BMO Capital Markets มองว่า การลดลงของราคาน้ำมัน อาหาร และอุปสงค์ของผู้บริโภค จะช่วยลดอัตราเงินเฟ้อที่ขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี Fed อาจจะปรับขึ้นมากกว่าในครั้งถัดไป หากอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง
  • Anna Wong และ Andrew Husby จาก Bloomberg Economics คาดการณ์ว่า เงินเฟ้อในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนยังคงสูง และจะสูงต่อไปอีก Fed ยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่ำ 0.5% หลังจากเดือนกรกฎาคม จนสถานการณ์เศรษฐกิจจะดีขึ้น
  • Sarah House และ Michael Pugliese จาก Wells Fargo มองว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed อาจจะไม่ได้ช่วยมากนัก เนื่องจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นมาจากปัจจัยภายนอก เช่น ราคาน้ำมันโลกเพิ่มขึ้นและโครงสร้างการใช้จ่ายและพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปหลังจาก Covid-19
  • Charlie Ripley จาก Allianz Investment Management มองว่า Fed ต้องอัดยาแรงเพื่อไล่ตามเงินเฟ้อ ไม่ว่า Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในอีก 2 รอบการประชุมหรือในครั้งถัดๆ ไป แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของอัตราเงินเฟ้อแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการควบคุมเงินเฟ้อของ Fed
  • Jason Pride จาก Glenmede มองว่า นักลงทุนคาดว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% ในสัปดาห์หน้า และจะปรับขึ้นจนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะลงมาสู่ระดับเป้าหมายที่ 2-3%

ความคิดเห็นแทบจะ 100% ของนักวิเคราะห์ในสำนักต่างๆ มองว่า Fed ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เพื่อลดอัตราเงินเฟ้อให้เร็วที่สุด และเมื่อไปดูตัวเลขความน่าจะเป็นใน FedWatch Tools จะพบว่าแต่ละเดือนมีโอกาสปรับขึ้นดังนี้

  • มิถุนายน ปรับขึ้น 0.5%
  • กรกฎาคม ปรับขึ้น 0.5%
  • กันยายน ปรับขึ้น 0.75%
  • พฤศจิกายน ปรับขึ้น 0.25% 
  • ธันวาคม ปรับขึ้น 0.25% 

สุดท้ายแล้ว Fed ต้องมีการปรับแผนรับมือเงินเฟ้อใหม่ในทุกรอบการประชุม ซึ่ง Jitta Wealth เชื่อว่า Fed จะหาทางรับมือได้ในที่สุด ถึงแม้ว่าประธาน Fed อย่าง Jerome Powell มักจะให้สัมภาษณ์ถึงแผนการรับมือแบบดั้งเดิม แต่สุดท้ายหากการใช้ยาแรงมันจำเป็นจริงๆ Fed ก็ต้องเลือกใช้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน


ตลาดหุ้นจีน 

รัฐบาลจีนคลายมาตรการหุ้นเทค ดันตลาดหุ้นสดใส 3 วันติด

หุ้นเทคจีนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 3 วันติดต่อกัน หลังทางการจีนผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มหุ้นเทคโนโลยี ดัชนี Nasdaq Golden Dragon China ปรับตัวขึ้น +5.7% สูงสุดในรอบ 3 เดือน จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นบิ๊กเทคจีน 

บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba มีราคาปรับเพิ่มขึ้นสูงสุด โดยเพิ่มขึ้น +15% สู่ระดับสูงสุด นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ แพลตฟอร์มสตรีมมิง Bilibili ปรับตัวเพิ่มขึ้น +6% ในขณะที่บริษัทอีคอมเมิร์ซ JD.com เพิ่มขึ้น +7.7% ด้วยเช่นกัน

Ant Group บริษัทลูก Alibaba เตรียมเข้า IPO 

หน่วยงานกำกับดูแลตลาดหุ้นจีนเตรียมตั้งทีมหารือการเข้า IPO ของ Ant Group บริษัทลูก Alibaba อีกครั้ง โดยขั้นตอนการพิจารณาไปถึงระดับผู้มีอำนาจแล้ว

อย่างไรก็ตาม ทางการจีนออกมาปฏิเสธว่า ยังไม่ได้พิจารณารื้อฟื้นแผนการ IPO ของ Ant Group ถึงแม้ว่าจะมีสัญญาณการผ่อนคลายมาตรการควบคุมต่างๆ อย่างชัดเจน

หากข่าวการขายหุ้น IPO ของ Ant Group เป็นจริง มีโอกาสที่หุ้นเทคโนโลยีจีนน่าจะผ่านจุดต่ำสุดและเตรียมพุ่งทะยานตามพื้นฐานการเติบโตอีกครั้ง ซึ่งต้องจับตามองกันต่อไป

Wall Street Journal รายงานว่า หน่วยงานกำกับดูแลของจีน กำลังเตรียมจะสรุปการสอบสวนบริษัท Didi Global และจะเลิกแบนแอป Didi ใน App Store และ Google Play ในสัปดาห์หน้า

การปรับตัวขึ้นของหุ้นเทคโนโลยีจีน ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq Golden Dragon China ติดลบลดลง -17.39% ในปี 2565 ในขณะที่ NASDAQ100 ขาดทุนสูงถึง -28.29% ซึ่งเป็นสัญญาณว่า หุ้นเทคจีนอาจกำลังกลับมาสดใสอีกครั้ง 

หากทางการจีนออกกฎที่ชัดเจน และเลือกใช้กฎนี้อย่างยั่งยืนจะส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนกลับมาเติบโตอีกครั้ง ซึ่งหากสถานการณ์ยังดีต่อไปแบบนี้ นอกจากตลาดหุ้นจีนจะสดใส เป้าหมาย GDP เติบโตที่ +5.5% ในปี 2565 ก็เป็นได้ 


Jitta Financial Literacy

10 วิธีฝึกเด็ก ‘ออมเงิน’ เริ่มก่อนสบายกว่า

จะดีแค่ไหนหากลูกของคุณเริ่มต้นลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย มีเวลาให้เงินทำงานนานขึ้น Jitta รวบรวม 10 วิธีฝึกลูกหลานของคุณ ‘ออมเงิน’ ติดอาวุธให้พวกเขา เริ่มต้นวันนี้ ไม่มีสายเกินไป เพราะ Financial Literacy ใครว่าไม่สำคัญ 

อ่านต่อ 


พลังงานสะอาด

BYD โตกระฉูด ขึ้นแท่นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 3 ของโลก

BYD บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) สัญชาติจีน ก้าวขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 3 ของโลกที่มีมูลค่ามาร์เก็ตแคปสูงที่สุด ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดที่ 128,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นรองเพียง Tesla ของสหรัฐฯ และ Toyata ของญี่ปุ่นเท่านั้น

สำหรับ BYD ไม่ได้จำกัดแค่เพียงผลิตรถยนต์ EV แต่ยังขยายตลาดไปในอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น แบตเตอรีลิเธียมและส่วนประกอบที่สำคัญของ รถยนต์ EV ส่งผลให้มูลค่าตลาดเติบโตแซงผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อย่าง Volkswagen ของเยอรมนีไปได้

ปี 2565 แผนธุรกิจของ BYD จะมุ่งมั่นสู่อุตสาหกรรมพลังงานสะอาดอย่างเต็มตัว โดยมียอดขายรถยนต์ EV ในเดือนพฤษภาคม 2565 ที่ 114,943 คัน เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขายได้เพียง 32,800 คัน เป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า +250% นอกจากนี้ยอดขายรวมในปี 2565 อยู่ที่ 507,314 คัน เพิ่มขึ้นกว่า +348% อีกด้วย

BYD มีความแข็งแกร่งทั้งด้านธุรกิจและฐานะการเงิน โดยในไตรมาส 1 ปี 2565 BYD มีรายได้อยู่ที่ 66,820 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น +63.02% มีกำไรสุทธิที่ 808 ล้านหยวน เพิ่มขึ้นกว่า +240% และสามารถผลิตกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้ถึง 11,930 ล้านหยวน

ผลประกอบการของ BYD รวมไปถึงความแข็งแกร่งของบริษัทส่งผลให้บริษัท Berkshire Hathaway ตัดสินใจเข้าลงทุนตั้งแต่ปี 2551 และมูลค่าเพิ่มขึ้นจนเป็น 8,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ 9 มิถุนายน 2565 

การเติบโตของ BYD ส่งผลดีต่อธีมพลังงานสะอาดจีน ธีมตลาดหุ้นจีน และธีมลิเธียมและแบตเตอรีอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีที่บ่งบอกว่า พลังงานสะอาดกำลังเป็นเมกะเทรนด์โลก 


Passive Way Story

รู้จัก John C. Bogle ‘ฮีโรนักลงทุน’ ของชาวอเมริกัน – Episode 04

Passive Way Story 8 เรื่องเล่าจาก Wall Street ลงทุนไม่พัง ต้องฟังทางนี้ Episode 04 – รู้จัก John C. Bogle ‘ฮีโรนักลงทุน’ ของชาวอเมริกัน ผู้ให้กำเนิดกองทุน Passive Fund การลงทุนที่เรียบง่ายแต่ให้ผลตอบแทนแสนมหัศจรรย์ 

กด Subscribe พอดคาสต์ช่องทางต่างๆ 

ฟังพอดคาสต์จาก YouTube 


ฟินเทค 

Apple บุกตลาดฟินเทค ก่อตั้งบริษัท Apple Financing 

Bloomberg รายงานว่า Apple บุกตลาดธุรกิจสินเชื่อ ก่อตั้งบริษัท Apple Financing เสริมทัพการให้บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง หรือ Buy Now Pay Later 

บริการใหม่นี้จะดูแลการตรวจสอบเครดิตและการให้สินเชื่อสำหรับบริการที่ถูกเรียกว่า Apple Pay Later ที่สามารถใช้ได้กับ Apple Pay และ Apple Wallet ซึ่งเป็นสัญญาณชี้ว่า บริษัทมีเป้าหมายกว้างขึ้นและเห็นโอกาสขยายตลาดในอุตสาหกรรมฟินเทค

Apple Financing เป็นบริษัทในเครือที่ได้รับอนุญาตให้บริการสินเชื่อ ซึ่งจะแยกออกมาจากธุรกิจหลักของ Apple โดย CNBC คาดการณ์ว่า ธุรกิจ Apple Pay Later จะกำหนดยอดการใช้จ่ายสูงสุดไว้ที่ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ

โอกาสการเติบโตในอุตสาหกรรมฟินเทคยังคงมีอยู่และมีแนวโน้มทิศทางที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่าภายในปี 2565 จะมีความผันผวนเกิดขึ้นมากมายในอุตสาหกรรม แต่เมื่อผู้ใช้งานเริ่มเข้าถึงเทคโนโลยีการจ่ายเงินมากขึ้น รวมไปถึงมีบริษัทบิ๊กเทคเป็นแกนหลักสำคัญในการเติบโต ย่อมจะส่งผลให้ธีมฟินเทคมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน 


Jitta Wealth

จัดพอร์ตลงทุนเพื่อลูกยาวๆ 20 ปีกับ Global ETF

เพจลงทุนมัมนำเสนอหลักการลงทุนให้ลูกจากการพูดคุยกับคุณเผ่า ออมเงินไว้ระยะยาว เพื่อให้ลูกไว้ใช้ตอนเติบใหญ่ หากคุณไม่ต้องการให้พอร์ตผันผวนมาก อาจเริ่มจาก Global ETF ได้ แต่ถ้ารับความเสี่ยงกับราคาที่ขึ้นๆ ลงๆ ของหุ้นเพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้น เลือกลงทุนแบบ Thematic กับ Jitta Ranking ได้เลย

อ่านวิธีลงทุน

รับชมจาก YouTube


ตลาดหุ้นเวียดนาม 

Dragon Capital ชี้ถึงเวลาลงทุนหุ้นเวียดนามแล้ว 

แม้ว่า ดัชนี VNI ร่วงลงมากกว่า -10% ในปี 2565 แต่ Dragon Capital กลับมองว่า ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีในการพิจารณาลงทุนในเวียดนาม 

Dragon Capital เป็นบริษัทจัดการลงทุนในหุ้นเวียดนาม โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) สูงถึง 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ชี้ว่าหุ้นเวียดนามขณะนี้มีราคาถูก ในขณะที่การเติบโตของบริษัทต่างๆ มีแนวโน้มโตอย่างแข็งแกร่ง

Dragon Capital ยังคาดการณ์ด้วยว่า กำไรต่อหุ้น (EPS) จะเติบโตมากกว่า +20%ในปี 2565 ซึ่งโดยปกติแล้วการเติบโตของ EPS มักจะเพิ่มขึ้นพร้อมกับราคาหุ้น แต่ในตอนนี้ราคาหุ้นกลับลดลง ในขณะที่ EPS เพิ่มขึ้น 

บริษัทจัดการลงทุน ชี้เหตุผลหลายประการว่า ทำไมหุ้นเวียดนามจึงเป็นทางเลือกการลงทุนที่ดีในช่วงเวลานี้ โดยสามารถสรุปออกมาได้ดังนี้ 

  • เศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มี GDP เติบโตสูงสุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และ Dragon Capital มองว่า แนวโน้มนี้จะยังคงดำเนินต่อไป ในปี 2565
  • เศรษฐกิจเวียดนามแซงหน้าจีน และไม่เห็นถึงการหดตัวของเศรษฐกิจแม้แต่ไตรมาสเดียว แม้จะได้รับผลกระทบจาก Covid-19 ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
  • เสถียรภาพทางการเมืองและนโยบายมหภาค ตลอดจนปัจจัยต่างๆ เช่น การเติบโตอย่างรวดเร็วของชนชั้นกลางเวียดนาม ทำให้เกิดโครงสร้างทางสังคมที่แข็งแกร่ง และมีโอกาสที่ GDP เวียดนามจะเติบโตได้สูงถึง +6% ถึง +7%

ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจทั่วโลก แต่สำหรับเวียดนามดูเหมือนว่าจะสามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของเวียดนามเพิ่มขึ้น +2.6% ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2565 และอาจสูงขึ้นเพียง +4 ถึง +5% ตลอดทั้งปี 2565 นี้

โอกาสการลงทุนในหุ้นเวียดนามยังมีอยู่เสมอ และด้วยราคาหุ้นพื้นฐานดีในราคาที่ถูกลง จะทำให้การลงทุนระยะยาวในเวียดนามยังให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า โดย Jitta Wealth มีแผนลงทุนในหุ้นเวียดนามทั้งใน Thematic และ Jitta Ranking  


นี่คือ 7 ข่าวสารที่น่าสนใจทั่วโลกที่ทีมงานรวบรวมมาให้ใน Jitta Wealth Journal

ผ่านมาแล้วครึ่งปี แต่ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกก็ยังสร้างความกังวลให้นักลงทุน เพราะยังต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยขาขึ้น ราคาพลังงานพุ่งสูง และราคาสินค้าเพิ่มขึ้นตามกันไป ส่งผลกระทบเป็นทอดๆ กับชีวิตของทุกคน 

เงินเฟ้อไม่ใช่เรื่องใหม่ และจะเป็นเรื่องที่คุณต้องเจออยู่เรื่อยๆ หากลงทุนในระยะยาว แต่สุดท้ายทุกอย่างจะดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติตามวัฏจักรเศรษฐกิจ 

นักลงทุนหลายคนอาจพยายามจับจังหวะซื้อขายหุ้น เพื่อบริหารพอร์ตของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่ทำได้อีกอย่างคือ กระจายความเสี่ยงในพอร์ต ซื้อสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ อย่างหุ้น Defensive เป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็เป็นที่ต้องการเสมอ อย่างหุ้นเฮลท์แคร์ 

แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า 

ตราวุทธิ์และทีมงาน Jitta Wealth


อ่าน Jitta Wealth Journal ย้อนหลัง

Jitta Wealth Journal – เงินเฟ้อพุ่งสูงแบบไม่ต้องลุ้น เศรษฐกิจถดถอยหรือยัง?

Jitta Wealth Journal – จีนเวอร์ชัน Zero Covid ดันหุ้นจีนได้อย่างไร


บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด
1111/9-10 ถนนลาดพร้าว แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900



สงวนลิขสิทธิ์ © 2024 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด
เนื้อหาทั้งหมดบนเว็บไซต์นี้จัดทำขึ้นโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด (“Jitta Wealth”) ผู้บริหารจัดการบัญชีกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth ที่ได้รับใบอนุญาตบริหารจัดการกองทุนประเภท ค เลขที่ ลค-0105-01 และดำเนินการภายใต้การกำกับ ดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) Jitta Wealth ให้บริการกองทุนส่วนบุคคลสำหรับผู้ลงทุนรายย่อย ที่ต้องการนำเงินมาลงทุนในตลาดทุน โดยใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์หุ้นและกลยุทธ์การลงทุนที่จัดทำโดยบริษัทจิตตะ ดอท คอม จำกัด (“Jitta.com”) บริหารจัดการให้แบบอัตโนมัติ เพื่อผลตอบแทนระยะยาวที่สูงกว่าดัชนีตลาด การลงทุนมีความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียกำไรหรือเงินต้น กลยุทธ์การลงทุนของ Jitta Wealth ใช้ข้อมูลวิเคราะห์หุ้นของ Jitta.com ซึ่งคิดคำนวณจากข้อมูลในอดีต อัตราผลตอบแทน การเปรียบเทียบหรือการจัดอันดับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนบนเว็บไซต์นี้เป็นสมมุติฐานทางสถิติจากข้อมูลที่มี เพื่อใช้ประกอบการอธิบายรายละเอียดบริการเท่านั้น ไม่สามารถใช้รับประกันผลตอบแทนในอนาคตได้ สถานการณ์ในโลกที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะแง่บวกหรือแง่ลบ สามารถส่งผลกระทบ ต่อทั้งอุตสาหกรรมหรือกลุ่มธุรกิจ และอาจทำให้พอร์ตหุ้นที่มีการกระจายความเสี่ยงค่อนข้างมากแล้ว ประสบความผันผวนด้านราคาได้ Jitta Wealth ได้รับอนุญาตให้บริหารจัดการกองทุนเพื่อช่วยผู้ลงทุนบรรลุเป้าหมายด้านการเงินผ่านการ ลงทุนในสินทรัพย์ประเภท หุ้นโดยไม่มีเจตนาแนะนำความเหมาะสมของกลยุทธ์การลงทุนใดๆ แก่ผู้ลงทุน ผู้ลงทุนควรคำนึงถึงเป้าหมายการลงทุนส่วนตัว และค่าธรรมเนียมต่างๆ ของ Jitta Wealth ก่อนลงทุน
“Jitta Wealth” เป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด