Jitta Wealth Journal ปีที่ 2 ฉบับที่ 81 ประจำวันที่ 14 มิถุนายน 2565 ทีมงานย่อยข่าวเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกมาเสิร์ฟให้คุณแล้ว ดังนี้
ไปติดตามกันได้เลย
ภาพรวมดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ดัชนียังเป็นขาลงเมื่อดูจากความเคลื่อนไหวแบบรายสัปดาห์ แบบ MTD (Month-to-Date) แบบ 3 เดือนและแบบ YTD (Year-to-Date)
ดัชนีเงินเฟ้อ (Consumer Price Index) สหรัฐฯ ออกมาที่ +8.6% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ +8.3% ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง และเป็นสัญญาณว่าเงินเฟ้อยังไม่แตะจุดสูงสุด
ข้อมูลจาก S&P Capital IQ ณ 10 มิถุนายน 2565
ทางด้านตลาดหุ้นฝั่งเอเชีย ตลาดหุ้นจีนมีแรงซื้ออย่างต่อเนื่อง เม็ดเงินซื้อสุทธิไหลเข้าหุ้น A-share อยู่ที่ 4,607 ล้านหยวน มีสถานะซื้อสุทธิเป็นบวกติดต่อกันหลายวัน หลังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และสถานการณ์บริษัทเทคโนโลยีจีนดีขึ้น
ด้วยอานิสงส์ผ่อนคลายล็อกดาวน์ในจีน ส่งผลดีต่อดัชนีตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชียปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นในเอเชียยังได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
ข้อมูลจาก S&P Capital IQ ณ 10 มิถุนายน 2565
พอร์ตลงทุนจริงที่ทุกคนรอคอย น้องไอวี่ลูกสาวของคุณเผ่า ตราวุทธิ์ เขียนบันทึกพอร์ต Jitta Ranking ลงทุนหุ้นไทยมาตลอด 5 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวอย่างโชกโชน แต่ผลตอบแทนรวมได้ +31.96% ถ้าคุณอยากรู้ว่า คุณเผ่าบอกเคล็ดลับอะไรลูกสาวบ้าง
ดร.ปิติ ดิษยทัต เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ให้ความเห็นถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อไทย ชี้ตัวเลขล่าสุดออกมาสูงเกินกว่าที่คาด โดยตัวเลขเงินเฟ้อในเดือนพฤษภาคม 2565 อยู่ที่ +7.1% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2564 พร้อมปรับเพิ่มตัวเลขประมาณการเงินเฟ้อปี 2565 เป็น +6.2%
อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นจากฝั่งอุปทานและราคาพลังงาน และมีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะยาว รวมไปถึงราคาสินค้าในโหมดอาหารสดก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน และ กนง. เชื่อว่า อัตราเงินเฟ้อที่เกิดจากฝั่งอุปทานจะทยอยปรับตัวลงในปี 2566
อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อ ณ ปัจจุบันยังไม่ใช่จุดสูงที่สุดของปีนี้ โดย กนง. คาดว่า เงินเฟ้อจะแตะจุดสูงสุดช่วงไตรมาสที่ 3 แต่ตัวเลขจะไม่ถึง 2 หลัก จากนั้นจะทยอยปรับลดลงตามการผลิตน้ำมันดิบที่คาดว่า จะมีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้นตามความต้องการในตลาดโลก ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันดิบลดลง
อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ กลยุทธ์การลงทุนในช่วงอัตราเงินเฟ้อคือ การลงทุนต่อไป
ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าเก็บ ‘หุ้นดีราคาถูก’ จากอัตราเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อให้ราคาหุ้นของบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดีได้ปรับตัวลดลงไป ทั้งที่บริษัทยังมีอำนาจในการต่อรองผู้บริโภคสูง และไม่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อเท่าไรนัก
ทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ แต่ไม่ใช่ว่าในวิกฤตนี้จะไม่มีโอกาสอยู่ คุณสามารถเลือกจัดพอร์ตลงทุนในหุ้น Defensive ที่มีความผันผวนต่ำกว่าหุ้นอื่นได้ เป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็เป็นที่ต้องการเสมอ อย่างหุ้นสุขภาพ และหุ้นสินค้าจำเป็น
แผนลงทุน Jitta Ranking สุขภาพสหรัฐฯ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แน่นอนว่า ลงทุนในหุ้นทนทานต่อสภาวะเงินเฟ้อ อยู่บนพื้นฐานของปัจจัย 4 ซึ่ง Jitta Wealth พาคุณไปลงทุนในประเทศเจ้าตลาดเฮลท์แคร์เบอร์ 1 ของโลกอย่างสหรัฐฯ
ที่เจ๋งไปกว่านั้น คือ AI และอัลกอริทึมจะสแกนหา ‘หุ้นดีมีโอกาสเติบโต’ ในกลุ่มเฮลท์แคร์ที่อยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เลือกหุ้นเหล่านั้นมาจัดพอร์ตให้คุณตั้งแต่ 5-30 บริษัท ปรับพอร์ตอัตโนมัติทุก 3 เดือน คุณมั่นใจได้เลยว่า หุ้นเฮลท์แคร์ในพอร์ตเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานกิจการแข็งแกร่ง และมีอำนาจต่อรองในตลาดสูง
สุดท้ายแล้วภาวะเงินเฟ้อผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เป็นวัฏจักร หุ้นเติบโตราคาถูกที่คุณสะสมในช่วงเวลานี้จะสร้างผลตอบแทนได้ดีในอนาคต หากคุณยังยึดมั่นกับหลักการลงทุนที่ถูกต้อง ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นเป็นเพียงผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น
การจับจังหวะการเข้าซื้อและขายหุ้นเป็นเรื่องยากสำหรับนักลงทุน ยิ่งในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นหมีซึมเศร้าก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ทฤษฎี Cocktail Party เป็นอีกทฤษฎีที่แสนเรียบง่ายที่จะช่วยให้คุณประเมินโอกาสเข้าซื้อและขายหุ้นได้ง่ายขึ้น
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคม 2565 ที่ +8.6% นับเป็นจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 40 ปี ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงอย่างหนัก เพิ่มความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะใช้ยาแรงเพื่อรับมือเงินเฟ้อ
Jitta Wealth สรุปความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ทั่วโลกเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงของสหรัฐฯ ที่ประเมินสถานการณ์ไปในทิศทางเดียวกัน เช่น
ความคิดเห็นแทบจะ 100% ของนักวิเคราะห์ในสำนักต่างๆ มองว่า Fed ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เพื่อลดอัตราเงินเฟ้อให้เร็วที่สุด และเมื่อไปดูตัวเลขความน่าจะเป็นใน FedWatch Tools จะพบว่าแต่ละเดือนมีโอกาสปรับขึ้นดังนี้
สุดท้ายแล้ว Fed ต้องมีการปรับแผนรับมือเงินเฟ้อใหม่ในทุกรอบการประชุม ซึ่ง Jitta Wealth เชื่อว่า Fed จะหาทางรับมือได้ในที่สุด ถึงแม้ว่าประธาน Fed อย่าง Jerome Powell มักจะให้สัมภาษณ์ถึงแผนการรับมือแบบดั้งเดิม แต่สุดท้ายหากการใช้ยาแรงมันจำเป็นจริงๆ Fed ก็ต้องเลือกใช้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน
หุ้นเทคจีนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 3 วันติดต่อกัน หลังทางการจีนผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มหุ้นเทคโนโลยี ดัชนี Nasdaq Golden Dragon China ปรับตัวขึ้น +5.7% สูงสุดในรอบ 3 เดือน จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นบิ๊กเทคจีน
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba มีราคาปรับเพิ่มขึ้นสูงสุด โดยเพิ่มขึ้น +15% สู่ระดับสูงสุด นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ แพลตฟอร์มสตรีมมิง Bilibili ปรับตัวเพิ่มขึ้น +6% ในขณะที่บริษัทอีคอมเมิร์ซ JD.com เพิ่มขึ้น +7.7% ด้วยเช่นกัน
หน่วยงานกำกับดูแลตลาดหุ้นจีนเตรียมตั้งทีมหารือการเข้า IPO ของ Ant Group บริษัทลูก Alibaba อีกครั้ง โดยขั้นตอนการพิจารณาไปถึงระดับผู้มีอำนาจแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทางการจีนออกมาปฏิเสธว่า ยังไม่ได้พิจารณารื้อฟื้นแผนการ IPO ของ Ant Group ถึงแม้ว่าจะมีสัญญาณการผ่อนคลายมาตรการควบคุมต่างๆ อย่างชัดเจน
หากข่าวการขายหุ้น IPO ของ Ant Group เป็นจริง มีโอกาสที่หุ้นเทคโนโลยีจีนน่าจะผ่านจุดต่ำสุดและเตรียมพุ่งทะยานตามพื้นฐานการเติบโตอีกครั้ง ซึ่งต้องจับตามองกันต่อไป
Wall Street Journal รายงานว่า หน่วยงานกำกับดูแลของจีน กำลังเตรียมจะสรุปการสอบสวนบริษัท Didi Global และจะเลิกแบนแอป Didi ใน App Store และ Google Play ในสัปดาห์หน้า
การปรับตัวขึ้นของหุ้นเทคโนโลยีจีน ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq Golden Dragon China ติดลบลดลง -17.39% ในปี 2565 ในขณะที่ NASDAQ100 ขาดทุนสูงถึง -28.29% ซึ่งเป็นสัญญาณว่า หุ้นเทคจีนอาจกำลังกลับมาสดใสอีกครั้ง
หากทางการจีนออกกฎที่ชัดเจน และเลือกใช้กฎนี้อย่างยั่งยืนจะส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนกลับมาเติบโตอีกครั้ง ซึ่งหากสถานการณ์ยังดีต่อไปแบบนี้ นอกจากตลาดหุ้นจีนจะสดใส เป้าหมาย GDP เติบโตที่ +5.5% ในปี 2565 ก็เป็นได้
จะดีแค่ไหนหากลูกของคุณเริ่มต้นลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย มีเวลาให้เงินทำงานนานขึ้น Jitta รวบรวม 10 วิธีฝึกลูกหลานของคุณ ‘ออมเงิน’ ติดอาวุธให้พวกเขา เริ่มต้นวันนี้ ไม่มีสายเกินไป เพราะ Financial Literacy ใครว่าไม่สำคัญ
BYD บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) สัญชาติจีน ก้าวขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 3 ของโลกที่มีมูลค่ามาร์เก็ตแคปสูงที่สุด ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดที่ 128,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นรองเพียง Tesla ของสหรัฐฯ และ Toyata ของญี่ปุ่นเท่านั้น
สำหรับ BYD ไม่ได้จำกัดแค่เพียงผลิตรถยนต์ EV แต่ยังขยายตลาดไปในอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น แบตเตอรีลิเธียมและส่วนประกอบที่สำคัญของ รถยนต์ EV ส่งผลให้มูลค่าตลาดเติบโตแซงผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อย่าง Volkswagen ของเยอรมนีไปได้
ปี 2565 แผนธุรกิจของ BYD จะมุ่งมั่นสู่อุตสาหกรรมพลังงานสะอาดอย่างเต็มตัว โดยมียอดขายรถยนต์ EV ในเดือนพฤษภาคม 2565 ที่ 114,943 คัน เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขายได้เพียง 32,800 คัน เป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า +250% นอกจากนี้ยอดขายรวมในปี 2565 อยู่ที่ 507,314 คัน เพิ่มขึ้นกว่า +348% อีกด้วย
BYD มีความแข็งแกร่งทั้งด้านธุรกิจและฐานะการเงิน โดยในไตรมาส 1 ปี 2565 BYD มีรายได้อยู่ที่ 66,820 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น +63.02% มีกำไรสุทธิที่ 808 ล้านหยวน เพิ่มขึ้นกว่า +240% และสามารถผลิตกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้ถึง 11,930 ล้านหยวน
ผลประกอบการของ BYD รวมไปถึงความแข็งแกร่งของบริษัทส่งผลให้บริษัท Berkshire Hathaway ตัดสินใจเข้าลงทุนตั้งแต่ปี 2551 และมูลค่าเพิ่มขึ้นจนเป็น 8,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ 9 มิถุนายน 2565
การเติบโตของ BYD ส่งผลดีต่อธีมพลังงานสะอาดจีน ธีมตลาดหุ้นจีน และธีมลิเธียมและแบตเตอรีอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีที่บ่งบอกว่า พลังงานสะอาดกำลังเป็นเมกะเทรนด์โลก
Passive Way Story 8 เรื่องเล่าจาก Wall Street ลงทุนไม่พัง ต้องฟังทางนี้ Episode 04 – รู้จัก John C. Bogle ‘ฮีโรนักลงทุน’ ของชาวอเมริกัน ผู้ให้กำเนิดกองทุน Passive Fund การลงทุนที่เรียบง่ายแต่ให้ผลตอบแทนแสนมหัศจรรย์
กด Subscribe พอดคาสต์ช่องทางต่างๆ
Bloomberg รายงานว่า Apple บุกตลาดธุรกิจสินเชื่อ ก่อตั้งบริษัท Apple Financing เสริมทัพการให้บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง หรือ Buy Now Pay Later
บริการใหม่นี้จะดูแลการตรวจสอบเครดิตและการให้สินเชื่อสำหรับบริการที่ถูกเรียกว่า Apple Pay Later ที่สามารถใช้ได้กับ Apple Pay และ Apple Wallet ซึ่งเป็นสัญญาณชี้ว่า บริษัทมีเป้าหมายกว้างขึ้นและเห็นโอกาสขยายตลาดในอุตสาหกรรมฟินเทค
Apple Financing เป็นบริษัทในเครือที่ได้รับอนุญาตให้บริการสินเชื่อ ซึ่งจะแยกออกมาจากธุรกิจหลักของ Apple โดย CNBC คาดการณ์ว่า ธุรกิจ Apple Pay Later จะกำหนดยอดการใช้จ่ายสูงสุดไว้ที่ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ
โอกาสการเติบโตในอุตสาหกรรมฟินเทคยังคงมีอยู่และมีแนวโน้มทิศทางที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่าภายในปี 2565 จะมีความผันผวนเกิดขึ้นมากมายในอุตสาหกรรม แต่เมื่อผู้ใช้งานเริ่มเข้าถึงเทคโนโลยีการจ่ายเงินมากขึ้น รวมไปถึงมีบริษัทบิ๊กเทคเป็นแกนหลักสำคัญในการเติบโต ย่อมจะส่งผลให้ธีมฟินเทคมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
เพจลงทุนมัมนำเสนอหลักการลงทุนให้ลูกจากการพูดคุยกับคุณเผ่า ออมเงินไว้ระยะยาว เพื่อให้ลูกไว้ใช้ตอนเติบใหญ่ หากคุณไม่ต้องการให้พอร์ตผันผวนมาก อาจเริ่มจาก Global ETF ได้ แต่ถ้ารับความเสี่ยงกับราคาที่ขึ้นๆ ลงๆ ของหุ้นเพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้น เลือกลงทุนแบบ Thematic กับ Jitta Ranking ได้เลย
แม้ว่า ดัชนี VNI ร่วงลงมากกว่า -10% ในปี 2565 แต่ Dragon Capital กลับมองว่า ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีในการพิจารณาลงทุนในเวียดนาม
Dragon Capital เป็นบริษัทจัดการลงทุนในหุ้นเวียดนาม โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) สูงถึง 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ชี้ว่าหุ้นเวียดนามขณะนี้มีราคาถูก ในขณะที่การเติบโตของบริษัทต่างๆ มีแนวโน้มโตอย่างแข็งแกร่ง
Dragon Capital ยังคาดการณ์ด้วยว่า กำไรต่อหุ้น (EPS) จะเติบโตมากกว่า +20%ในปี 2565 ซึ่งโดยปกติแล้วการเติบโตของ EPS มักจะเพิ่มขึ้นพร้อมกับราคาหุ้น แต่ในตอนนี้ราคาหุ้นกลับลดลง ในขณะที่ EPS เพิ่มขึ้น
บริษัทจัดการลงทุน ชี้เหตุผลหลายประการว่า ทำไมหุ้นเวียดนามจึงเป็นทางเลือกการลงทุนที่ดีในช่วงเวลานี้ โดยสามารถสรุปออกมาได้ดังนี้
ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจทั่วโลก แต่สำหรับเวียดนามดูเหมือนว่าจะสามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของเวียดนามเพิ่มขึ้น +2.6% ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2565 และอาจสูงขึ้นเพียง +4 ถึง +5% ตลอดทั้งปี 2565 นี้
โอกาสการลงทุนในหุ้นเวียดนามยังมีอยู่เสมอ และด้วยราคาหุ้นพื้นฐานดีในราคาที่ถูกลง จะทำให้การลงทุนระยะยาวในเวียดนามยังให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า โดย Jitta Wealth มีแผนลงทุนในหุ้นเวียดนามทั้งใน Thematic และ Jitta Ranking
นี่คือ 7 ข่าวสารที่น่าสนใจทั่วโลกที่ทีมงานรวบรวมมาให้ใน Jitta Wealth Journal
ผ่านมาแล้วครึ่งปี แต่ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกก็ยังสร้างความกังวลให้นักลงทุน เพราะยังต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยขาขึ้น ราคาพลังงานพุ่งสูง และราคาสินค้าเพิ่มขึ้นตามกันไป ส่งผลกระทบเป็นทอดๆ กับชีวิตของทุกคน
เงินเฟ้อไม่ใช่เรื่องใหม่ และจะเป็นเรื่องที่คุณต้องเจออยู่เรื่อยๆ หากลงทุนในระยะยาว แต่สุดท้ายทุกอย่างจะดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติตามวัฏจักรเศรษฐกิจ
นักลงทุนหลายคนอาจพยายามจับจังหวะซื้อขายหุ้น เพื่อบริหารพอร์ตของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่ทำได้อีกอย่างคือ กระจายความเสี่ยงในพอร์ต ซื้อสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ อย่างหุ้น Defensive เป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็เป็นที่ต้องการเสมอ อย่างหุ้นเฮลท์แคร์
แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า
ตราวุทธิ์และทีมงาน Jitta Wealth
Jitta Wealth Journal – เงินเฟ้อพุ่งสูงแบบไม่ต้องลุ้น เศรษฐกิจถดถอยหรือยัง?
Jitta Wealth Journal – จีนเวอร์ชัน Zero Covid ดันหุ้นจีนได้อย่างไร