Jitta Wealth Journal ปีที่ 2 ฉบับที่ 58 ประจำวันที่ 5 มกราคม 2565 ทีมงานได้รวบรวมข่าวสารและสถานการณ์การลงทุนทั่วโลกที่น่าสนใจ ดังนี้
ไปติดตามกันได้เลย
เริ่มต้นปี 2565 ทีมงาน Jitta Wealth รวบรวมบทความ ‘ความรู้การลงทุน’ ที่น่าสนใจตลอดปี 2564 คุณตั้งเป้าหมายการเงิน วางแผนลงทุนระยะยาว ให้พอร์ตเติบโตมั่งคั่งแบบ ‘เสือนอนกิน’
นักเศรษฐศาสตร์เตือนฝ่ายบริหารของรัฐบาล Joe Biden ว่า การใช้กฏหมายต่อต้านการผูกขาดอาจทำให้วิกฤตเงินเฟ้อแย่ลงกว่าเดิม เนื่องจากทางประธานาธิบดีสหรัฐฯ เรียกร้องให้ตรวจสอบบริษัทอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์และบริษัทน้ำมัน
Larry Summers อดีตรัฐมนตรีคลัง ให้ความเห็นว่า การบังคับใช้กฏหมายป้องกันการผูกขาด อาจทำให้เกิดปัญหาอุปทานและราคาปรับตัวสูงขึ้นได้ แนะนำให้แก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในระบบ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาภาคการผลิตที่ไม่เพียงพอ ส่งผลให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
ดัชนีราคาผู้บริโภคหรือเงินเฟ้อในสหรัฐฯ เดือนพฤศจิกายนพุ่งขึ้นมาถึง 5.7% เป็นสูงสุดในรอบ 4 ทศวรรษ จากปัญหาการขาดแคลนแรงงานและห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง มีส่วนทำให้วิกฤตเงินเฟ้อของสหรัฐฯ แย่ลงกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม Janet Yellen รัฐมนตรีคลังมองว่า ความเห็นของ Summers มองภาพผิดไป และประเมินว่า เงินเฟ้อเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นชั่วคราว และจะลดลงจนกลับไปสู่เป้าหมาย 2% ในช่วงปี 2565
ยังคงต้องจับตาดูทิศทางของสหรัฐฯ ในการรับมือกับภาวะเงินเฟ้อ และหวังว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ภายในปี 2565 หากคุณเป็นนักลงทุนระยะยาว ประเด็นเงินเฟ้อจะสร้างผลกระทบให้ตลาดหุ้นผันผวนระยะสั้นอยู่เสมอ
พอร์ตลงทุนระยะยาวจะต้องเผชิญปัจจัยและข่าวสารเชิงบวกเชิงลบอยู่ตลอด วัดกันที่คุณภาพของสินทรัพย์ที่คุณลงทุนอยู่ ถ้าเป็นกิจการที่ดี รายได้เติบโต มีอำนาจต่อรองในตลาดสูง ผลประกอบการก็จะยังเติบโตได้
ลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี กระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม หมั่นเพิ่มทุนอย่างสม่ำเสมอ สุดท้ายผลตอบแทนทบต้นจากการลงทุนระยะยาว จะสามารถเอาชนะวิกฤตต่างๆ ไปได้
Kelvin Tay จาก UBS Global Wealth Management บอกว่า มูลค่าของหุ้นจีนมีความน่าดึงดูดใจในปี 2565 แต่คาดว่า การฟื้นตัวที่ยังไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาใกล้ๆ นี้ เพราะหุ้นหลายบริษัทอยู่ในช่วงราคาถูก เหมาะลงทุนสะสมเข้าพอร์ต
การตรวจสอบของรัฐบาลจีนในบริษัทเทคโนโลยี และวิกฤต China Evergrande ทำให้นักลงทุนทั่วโลกหลีกเลี่ยงการลงทุนในตลาดหุ้นจีน แม้แต่ข่าวเชิงลบเล็กๆ น้อยๆ ก็ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นจีนได้ เพราะกำลังอยู่ในสภาวะเปราะบางนั่นเอง
แต่นักวิเคราะห์มองว่า ตอนนี้หุ้นจีนหลายบริษัทอยู่ในช่วงราคาถูก และเมื่อจีนบังคับใช้กฎหมาย เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคได้แล้ว จะทำให้ตลาดหุ้นจีนและบริษัทต่างๆ กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง เพราะคุณภาพกิจการไม่ได้ซบเซาตามความผันผวนของตลาดหุ้น
หากคุณกำลังรอโอกาสเข้าลงทุนในตลาดหุ้นจีน ปี 2565 น่าจะเห็นทิศทางการฟื้นตัวที่น่าสนใจ
Global Times กระบอกเสียงของรัฐบาลจีน ระบุว่า ปาฏิหาริย์เศรษฐกิจจีนจะยังดำเนินต่อไป และจะทำให้ประเทศตะวันตกผิดหวัง เพราะจีนกำลังเพิ่มมาตรการต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่า เศรษฐกิจจะสามารถวิ่งฝ่าวิกฤตในต้นปี 2565 ได้ จากการลงทุนภายในและการค้าต่างประเทศ
โดยมองว่า เศรษฐกิจจีนดีกว่าสหรัฐฯ มาก ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อและการระบาดของ Covid-19 ระลอกใหม่ ในขณะที่จีนมีการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่ง และความต้องการสินค้าจีนในต่างประเทศสูง อัตราเงินเฟ้อจีนในปี 2564 ยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้สามารถรักษาอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไป และบริษัทต่างๆ ยังสามารถกู้ยืมเพื่อขยายธุรกิจได้
เช่นเดียวกับ Morgan Stanley ให้ความเห็นว่า ในปี 2565 ตลาดหุ้นจีนจะปรับตัวขึ้น เนื่องจากในปี 2564 รัฐบาลจีนออกมาตรการควบคุมหนี้ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทำให้หนี้สินต่อ GDP ของจีนลดไปกว่า 10% และได้นำเสนอการวิเคราะห์ 4 เหตุผลที่คาดว่า เศรษฐกิจจีนอยู่ในช่วงขาขึ้น
หลังจากรัฐบาลออกมาตรการควบคุมหนี้อย่างหนัก จนทำให้ตลาดผันผวนในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ปัจจุบันจีนเริ่มออกมาตรการผ่อนคลายทั้งด้านการเงินและการคลัง เช่น ลดอัตราส่วนเงินสำรองธนาคารพาณิชย์ เพิ่มสภาพคล่องในตลาด เป็นต้น
ปีที่ผ่านมา China Evergrande ประสบปัญหาภาวะหนี้ตึงตัว ขาดสภาพคล่องในการชำระหนี้ รวมไปถึงบริษัทอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ที่ทยอยผิดนัดชำระหนี้ด้วย ทำให้ผู้บริโภคขาดความมั่นใจ ยอดขายบ้านใหม่ดิ่งลง
แต่รัฐบาลได้ออกมาตรการผ่อนคลาย ช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาคธนาคารกระตุ้นปล่อยสินเชื่อบ้านแก่ผู้บริโภค ลดดอกเบี้ยเงินกู้ ในขณะที่บางเมืองลดข้อจำกัดในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ภาครัฐออกมาตรปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เมื่อผู้บริโภคมีความมั่นใจการซื้ออสังหาริมทรัพย์และการส่งมอบตามกำหนด กระแสเงินสดภาคอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวดีขึ้น สภาพคล่องในการชำระหนี้ดีขึ้นตามไปด้วย
ปี 2564 จีนได้แบนการนำเข้าถ่านหินจากออสเตรเลีย เพื่อสนองนโยบายลดคาร์บอน ขณะเดียวกันในช่วงการฟื้นตัวจาก Covid-19 การใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้จีนประสบปัญหาการขาดแคลนพลังงาน นอกจากนี้รัฐบาลยังได้ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์และลม คาดว่า ปี 2565 จะมีกำลังการติดตั้งมากกว่า 97 กิกะวัตต์ ทำให้สามารถลดการพึ่งพาพลังงานถ่านหินได้
มาตรการ Zero-Covid ของจีน ส่งผลให้จำนวนการติดเชื้อในประเทศ ปี 2564 น้อยลง โรงงานอุตสาหกรรมสามารถเดินเครื่องได้อย่างราบรื่น ส่งผลให้จีนสามารถผลิตสินค้าส่งออกไปทั่วโลก ในขณะที่ประเทศฝั่งตะวันออกเริ่มฟื้นตัวและความต้องการสินค้ามากขึ้น ราคาสินค้าปรับตัวดีขึ้น ยอดส่งออกจากจีนจึงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
Morgan Stanley มองว่า เศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวและเติบโตในปี 2565 รวมไปถึงตลาดหุ้นจีนได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจขาขึ้น และคลายความกดดันจากการตรวจสอบของรัฐบาล และปัญหาหนี้เสียภาคอสังหาริมทรัพย์
ธนาคารโลก (World Bank) คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2565 ว่า จะสามารถเติบโตได้ 6-6.5% หากเวียดนามสามารถควบคุมการแพร่ระบาด Covid-19 และปรับปรุงสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Jacques Morisset หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บอกว่า ความเสี่ยงที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเวียดนามมากที่สุดในปี 2565 คือ การระบาดครั้งใหญ่ของ Covid-19 สายพันธุ์ใหม่ แต่การระบาดจะสร้างโอกาสเข้าสู่เวียดนามมากขึ้นเช่นกัน
เพราะหลายๆ ประเทศผู้นำที่ต้องการกระจายห่วงโซ่อุปทาน เลือกเวียดนามเป็นจุดหมายในการขยายธุรกิจและภาคการผลิต ด้วยการลงทุนใหม่ๆ จะทำให้เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตอย่างก้าวกระโดด และผู้คนเริ่มมีรายได้มากขึ้น จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไปในทิศทางบวกอย่างต่อเนื่อง
ทาง Morisset บอกว่า ธนาคารโลกจะสนับสนุนเวียดนามให้บรรลุเป้าหมายในการเป็นประเทศที่มีรายได้สูง และเป็นประเทศที่เจริญรุ่งเรืองภายในปี 2588 ให้ได้
แนวโน้มของเศรษฐกิจเวียดนามยังคงเติบโตอย่างก้าวกระโดด กำลังติดปีกบิน ซึ่งเป็นผลพวงจากการวางรากฐานของประเทศ ทำให้กลายเป็นดวงดาวฉายแสงในเวทีโลก ล่าสุดดัชนี VNI ทะยานสู่ 1,500 จุดอีกครั้งในวันทำการแรกของปี 2565
หากคุณต้องการลงทุนในประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตสูง เวียดนามเหมาะสมมากกับโอกาสในอีก 5-10 ปีข้างหน้า จากการเป็นฐานการผลิตของโลก ส่วนการพัฒนาเป็นประเทศเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ยังเป็นความท้าทายของเวียดนามอยู่
ความสำคัญของหุ้นเทคโนโลยี คือ คุณต้องใช้ทุกวัน และขาดมันไม่ได้ ถือเป็นแนวโน้มที่ดีในการลงทุนระยะยาว มาทำความรู้จัก Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ พร้อมชี้เป้า 5 บริษัทเทคที่น่าจับตามอง
มาร์เก็ตแคปของ Apple พุ่งขึ้นไปแตะ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเวลาสั้นๆ ของวันแรกในปี 2565 ทำให้ Apple กลายเป็นบริษัทแรกในสหรัฐฯ ที่ทะยานขึ้นไปถึงจุดนี้ได้สำเร็จ
นอกจากนี้ราคาหุ้น Apple ยังปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.5% นับเป็นเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของ บริษัท และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั่วโลกว่า บริษัทยังมีศักยภาพในการเติบโตขึ้นได้อีกในอนาคต
รายได้ของ Apple เพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี คิดเป็นการเติบโตปีละ 25.6% และมีรายได้จากทั่วโลกเข้ามาถึง 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา และราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 34% ในปี 2564 โดยหุ้น Apple ถูกใช้เป็นที่หลบภัยของนักลงทุนในช่วงตลาดหุ้นมีความไม่แน่นอนอีกด้วย
Apple เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้เติบโตในปี 2564 และยังมีพื้นที่ในการเติบโตอีก ต้องบอกว่าอนาคตของ Apple ตอนนี้ค่อนข้างสดใสเลยทีเดียว
Alphabet บริษัทแม่ของ Google กลายเป็นหุ้นบิ๊กเทคแห่งปี 2564 ด้วยผลตอบแทนสูงสุด ที่ +68% โดยมีรายได้หลักมาจากธุรกิจโฆษณา ผู้บริโภคทั่วโลกใช้งานค้นหามากขึ้น รวมไปถึงแอปพลิเคชันอื่นๆ อย่าง Maps และ YouTube
นอกจากนี้ธุรกิจคลาวด์ของ Google ขยายตัวมากขึ้นจากเทรนด์ Work from Home และ Work from Anywhere
ครั้งล่าสุดที่ Google สามารถสร้างผลตอบแทนเหนือตลาดได้ คือ เมื่อ 12 ปีที่แล้ว และมีมาร์เก็ตแคปถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน และแนวโน้มในปี 2565 นักวิเคราะห์คาดว่า Alphabet อาจต้องหาธุรกิจขับเคลื่อนรายได้ใหม่ๆ จากการเติบโตของรายได้จะชะลอตัวลง
นี่คือ ความเคลื่อนไหวจาก 2 บิ๊กเทคสหรัฐฯ หากคุณอยากลงทุนในหุ้นเมกะแคป สามารถจัดพอร์ตแบบ Thematic DIY เลือกธีมตลาดหุ้นสหรัฐฯ เลือกผสมกับธีมตลาดหุ้นและธีมเมกะเทรนด์ได้สูงสุดถึง 5 ธีม
GDP ของอินเดียจะโต 9% ในปี 2565-2566 เป็นการประเมินจาก Aditi Nayar อดีตนักวิเคราะห์ธนาคารโลก ถึงแม้ว่า ทั่วโลกยังเผชิญวิกฤต Covid-19 และยังมีสายพันธุ์โอไมครอน แต่เชื่อว่า อินเดียจะสามารถควบคุมและเร่งอัตราการฉีดวัคซีนทั่วประเทศได้ทันท่วงที
ส่วนการบริโภคที่เพิ่มขึ้นจะผลักดันให้ภาคการผลิตโตสูงกว่าเกณฑ์ถึง 75% ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนในวงกว้างช่วงปี 2566
คาดการณ์อีกว่า การเติบโตของรายได้ภาษีจะกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาลเร็วขึ้นในปี 2565 ส่วนความเสี่ยง คือ การแพร่ระบาด Covid-19 หากอินเดียสามารถรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด
อินเดียมีเศรษฐกิจเติบโตสูงมากในปี 2564 ทำให้มีเม็ดเงินลงทุนทั่วโลกหลั่งไหลเข้าตลาดหุ้น ด้วยการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและจำนวนประชากรขนาดใหญ่ จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทำให้เป็นประเทศที่ยังอยู่ในสายตานักลงทุนทั่วโลก
ปัญหาโลกร้อนกำลังคุกคามการใช้ชีวิตประจำวันของทุกคน สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงรุนแรง หรือ Climate Change เห็นชัดขึ้นทุกปี ปัญหานี้ผลักดันให้หลายๆ ประเทศหาทางออกด้วย ‘พลังงานสะอาด’ ที่กำลังเป็นเมกะเทรนด์ในอนาคต
CNBC รวบรวมความเห็นของนักวิเคราะห์และนักลงทุน สรุปทิศทางอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และคาดการณ์แนวโน้มของตลาดปี 2565 หลายฝ่ายลงความเห็นว่า ปี 2564 เป็นปีทองของ EV และปี 2565 จะเป็นปีที่ค่ายรถยนต์ต่างๆ กอบโกยรายได้เข้ากระเป๋า
กระแสรักษ์โลกและพลังงานสะอาดทำให้คนหันมาสนใจ EV มากขึ้น รวมไปถึงบริษัทผลิตรถยนต์ในตลาดก็หันมาเปลี่ยนแผน เตรียมเลิกผลิตรถยนต์ใช้น้ำมัน เปลี่ยนมาผลิต EV เต็มตัว
นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่ง อ้างอิงจากความนิยมของ Tesla บวกกับกระแสรักษ์โลกและพลังงานสะอาด ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ EV จากค่ายต่างๆ น่าจับตามอง ทำให้นักลงทุนก็เชื่อมั่นในเทรนด์นี้ จับตามองความเคลื่อนไหวของค่ายผู้ผลิต EV อย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ ตลาด EV ยังได้รับแรงสนับสนุนจากสภาคองเกรสอนุมัติผ่านร่างกฎหมาย สนับสนุนงบประมาณ 7,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการสร้างสถานีชาร์จรถ 500,000 แห่งทั่วประเทศภายในปี 2573
ยอดส่งมอบรถยนต์ Tesla ปี 2564 อยู่ที่ 936,172 คัน เติบโต 87% เมื่อเทียบกับปี 2564 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ดันราคาหุ้น Tesla พุ่งขึ้นกว่า 13% วันทำการแรกของปี 2565
Elon Musk ประกาศว่า บริษัทต้องการเพิ่มปริมาณการขายรถยนต์เป็น 20 ล้านคันต่อปี ในช่วง 9 ปีข้างหน้า และมีแผนจะขยายโรงงานผลิต EV ในอีกหลายๆ ประเทศ
ปัจจุบัน Tesla มีโรงงานประกอบรถยนต์หลักในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ และเซี่ยงไฮ้ จีน โดยมีโรงงานที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 2 แห่ง คือ เบอร์ลิน เยอรมัน และเท็กซัส สหรัฐฯ
บริษัททำตลาดใน 40 ประเทศทั่วโลก และยังมียอดจองรถรอการส่งมอบอีกมาก ไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค Tesla มีแผนขยายการผลิตในประเทศต่างๆ เช่น อินโดนีเซีย อินเดีย เป็นต้น
ปัจจุบัน Tesla ครองยอดขาย EV ทั่วโลก มีส่วนทำให้ค่ายรถใหญ่ๆ เริ่มเคลื่อนไหว ประกาศทิศทางบริษัทเข้าสู่การผลิต EV แล้ว
ตัวอย่างเช่น Toyota ที่ลงทุนไปมากกว่า 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำ EV ออกสู่ตลาดภายในปี 2573 รวมไปถึงค่าย EV ของจีนอีกหลายๆ แห่งที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และเริ่มวางแผนจะเข้ามาตีตลาดสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ในอนาคต
หากคุณต้องการลงทุนในหุ้น EV สามารถจัดพอร์ตแบบ Thematic DIY เลือกธีมตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีสัดส่วนการลงทุนใน Tesla และธีมพลังงานสะอาดจีน ที่มีสัดส่วนการลงทุนในค่าย EV ของจีนหลายๆ บริษัทด้วยกัน
รับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา อัลกอริทึมใหม่ เวอร์ชัน 4.0 ของแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta จะโฟกัสที่งบการเงินย้อนหลัง 4 ไตรมาสล่าสุด เพื่อให้คัดสรร ‘หุ้นดี ราคาเหมาะสม’ ที่กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
สำหรับกองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking จะใช้อัลกอริทึมใหม่นี้ โดยเริ่มปี 2565 เป็นต้นไป คุณไม่ต้องทำอะไร ระบบปรับพอร์ตอัตโนมัติจะคัดเลือกหุ้นตามอัลกอริทึมใหม่นี้เอง เพื่อผลตอบแทนระยะยาวที่ดีขึ้นในพอร์ตของคุณ
นี่คือ สรุปข่าวสารและสถานการณ์การลงทุนทั่วโลก ที่ทีมงาน Jitta Wealth รวบรวมมาให้คุณได้ติดตามไปพร้อมๆ กัน
สวัสดีปีใหม่ 2565 ขอให้พอร์ตลงทุนมีแต่ความมั่งคั่งดั่ง ‘เสือนอนกิน’ พอร์ตแข็งแกร่งพอที่จะฝ่าฟันความไม่แน่นอนในโลกการลงทุนที่เกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี
เปิดศักราชใหม่ด้วยข่าวดีๆ และทิศทางตลาดหุ้นที่สดใส นับเป็นสัญญาณที่ดี ถ้าคุณสร้างเรือที่แข็งแรงพอ ต่อให้มีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เรือของคุณก็จะฝ่าคลื่นลมและมรสุมไปได้
แล้วพบกันสัปดาห์หน้า
Jitta Wealth Journal – รับแรงกระแทกถ้วนหน้า Fed จ่อขึ้นดอกเบี้ย