เมื่อเศรษฐกิจทั่วโลกส่งสัญญาณฟื้นตัว สิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คือ เงินเฟ้อ โดยวัดจากดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index – CPI) ประกาศตัวเลขเป็นรายเดือน
ตัวเลขเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นถือเป็นเรื่องปกติตามวัฏจักร แต่จะไม่ปกติเมื่อตัวเลขพุ่งสูงเกินกว่าพื้นฐานเศรษฐกิจด้านอื่นๆ เช่น การว่างงาน การบริโภคภาคประชาชน
สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญภาวะเงินเฟ้อพุ่งแรง โดยสำนักงานสถิติแรงงาน สรุปตัวเลข CPI ของปี 2564 อยู่ที่ 7.0% รวมดัชนีราคาอาหารและพลังงาน เป็นตัวเลขรายปีสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2525
จะไม่ให้กังวลได้อย่างไร ในเมื่อตัวเลขเงินเฟ้อที่สะท้อนพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดีจะอยู่ประมาณ 2% หรือเรียกกันว่า เงินเฟ้ออ่อนๆ
ผลที่ตามมา คือ ต้นทุนการผลิตและการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการอาจจะผลักภาระต้นทุนไปให้ผู้บริโภค ซึ่งหมายถึง ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้ประชาชนยังเท่าเดิม
เมื่อเงินเฟ้อพุ่งแรง ถึงเวลาที่ธนาคารกลางต้องออกโรง ใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด (Restrictive Monetary Policy) และ 1 ในมาตรการเหล่านั้น คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อบรรเทาความร้อนแรง (Overheated) ในระบบเศรษฐกิจนั่นเอง
โดยปกติแล้วธนาคารกลางของทุกประเทศ จะใช้นโยบายการเงินหลายๆ รูปแบบเพื่อดูแลระบบเศรษฐกิจโดยรวม และควบคุมเสถียรภาพของราคาให้สมดุล ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้นๆ
ในทางกลับกัน หากอยู่ในช่วงเศรษฐกิจซบเซา (Recession) ธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการขยายตัว สำหรับภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐฯ เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เริ่มส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหลายๆ ครั้งในปี 2565 จึงส่งผลให้ตลาดหุ้นตอบสนองทันที มีความผันผวนขาลงจากความกังวลของนักลงทุนทั่วโลก
ไม่ใช่แค่สหรัฐฯ ที่กำลังเผชิญกับ ‘เงินเฟ้อ’ พุ่งแรง ประเทศอื่นๆ ในยุโรป เอเชีย รวมทั้งไทยด้วย โดยทางธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) บอกว่า ภาวะเงินเฟ้อของไทยที่กำลังไต่ระดับ ได้รับผลกระทบมาจากภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงของหลายๆ ประเทศ
เมื่อไม่มีใครหลีกเลี่ยงภาวะเงินเฟ้อได้ ตลาดหุ้นทั่วโลกยังไม่ความแน่นอน และอ่อนไหวต่อข่าวสารต่างๆ คุณเกิดคำถามขึ้นว่า จัดพอร์ตลงทุนอย่างไรในภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูง สินทรัพย์ที่แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานเงินเฟ้อมีอะไรบ้าง
ทีมงาน Jitta Wealth รวบรวมแนวคิดและวิธีการรับมือกับ ‘เงินเฟ้อ’ จาก 3 นักลงทุนชื่อดังระดับโลก พร้อมทั้งไฮไลต์แผนการลงทุนของ Jitta Wealth ที่สอดคล้องกับมุมมองของพวกเขา
นักวิเคราะห์จากหลายๆ สำนักแนะนำให้คุณเลือกลงทุนในตลาดหุ้นช่วงที่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากเงินเฟ้อจะส่งผลกระทบกับคุณโดยตรง หากคุณเก็บเงินสดไว้ในบัญชีธนาคาร และไม่ทำอะไรกับมัน มูลค่าเงินจะถูกอัตราเงินเฟ้อกัดกินไปเรื่อยๆ จนทำให้มูลค่าในอนาคตลดลง การนำเงินไปลงทุนในหุ้น เพื่อบรรเทามูลค่าเงินในอนาคตที่จะลดลง จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากที่สุด
แต่คำถามคือ คุณควรลงทุนในบริษัทประเภทใด นักลงทุนชั้นเซียนอย่าง Warren Buffett ให้คำแนะนำการลงทุนในช่วงเงินเฟ้อพุ่งสูง ซึ่งเคยเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นหลายๆ ทศวรรษ ทีมงาน Jitta Wealth จะพาคุณย้อนเวลากลับไปทำความเข้าใจคำแนะนำของเขา ซึ่งยังใช้ได้ในภาวะเงินเฟ้อ ปี 2565
ในการประชุมผู้ถือหุ้นปี 2558 ของ Berkshire Hathaway โดยมี Buffett ประธานและ CEO ให้คำแนะนำกับผู้ถือหุ้นว่า ธุรกิจที่น่าลงทุนที่สุดในภาวะเงินเฟ้อควรเป็นธุรกิจที่คุณลงทุนเพียงครั้งเดียว และคุณไม่จำเป็นต้องคอยเติมเงินเข้าไปอีก ซึ่ง Buffett ได้ยกตัวอย่างธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยให้เหตุผลว่า การซื้ออสังหาริมทรัพย์ในช่วงเงินเฟ้อ มูลค่าอสังหาริมทรัพย์จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
สำหรับธุรกิจที่ควรหลีกเลี่ยงลงทุนในภาวะเงินเฟ้อ คือ ธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูงในการดำเนินธุรกิจ โดย Buffett ได้ยกตัวอย่างหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและเส้นทางคมนาคม ไม่ใช่ธุรกิจที่ควรลงทุนในภาวะเงินเฟ้อ
ย้อนกลับไปในการประชุมผู้ถือหุ้นปี 2552 Buffett เคยพูดถึงการปกป้องเงินของคุณจากภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งเขาแบ่งออกมาเป็น 2 วิธีที่ดีที่สุด ดังนี้
คำแนะนำที่ชัดเจนที่สุดของ Buffett มาจากจดหมายถึงผู้ถือหุ้นในปี 2524 ที่ Buffett ได้พูดถึงคุณสมบัติธุรกิจที่สามารถทนต่อภาวะเงินเฟ้อ และได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งมีอยู่ 2 ข้อ ประกอบด้วย
จากคำแนะนำของ Buffett สามารถสรุปได้ว่า เขาเน้นที่คุณภาพกิจการที่สามารถสร้างรายได้เติบโตได้ต่อเนื่องท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งก็คือ หุ้นคุณค่า (Value Stock) เพราะกิจการเหล่านี้จะสามารถครองใจผู้บริโภค ถึงแม้ว่าจะขึ้นราคาสินค้าตามเงินเฟ้อ ผู้บริโภคก็ยังมีความต้องการซื้อสินค้าอยู่ดี
เมื่อกิจการเหล่านั้นขึ้นราคาสินค้าได้ ก็จะมีรายได้และกำไรที่มากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่ง Buffett มองว่า การลงทุนในหุ้นคุณค่า สุดท้ายแล้ว หากบริษัทแข็งแกร่งจริงๆ จะสามารถผ่านพ้นเหตุการณ์อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไปได้ และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับคุณในระยะยาว
Peter Lynch ตำนานผู้จัดการ Magellan Fund กองทุนในสังกัดของ Fidelity Investments และผู้เขียนหนังสือการลงทุนชื่อดังระดับโลกมากมายอย่าง One Up On Wall Street และ Beating the Street ที่มียอดขายอันดับ 1 ทั่วโลก
Lynch เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อ PBS โดยได้อภิปรายหัวข้อต่างๆ มากมาย รวมถึงกลยุทธ์การลงทุน ความสำเร็จของ Magellan Fund และความคิดของเขาเกี่ยวกับเวลาที่ใช้ไปกับการคาดการณ์หรือจับจังหวะเศรษฐกิจ ซึ่ง Lynch ได้เล่าย้อนกลับไปในปี 2525 ที่ตัวเขาบอกว่า เป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวของสหรัฐฯ
สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ช่วงปี 2525 มีภาวะถดถอยถึง 9 ครั้ง รุนแรงสุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 รวมไปถึงอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น 14% ตอนนั้นผู้คนต่างกังวลว่า นี่อาจจะเป็นจุดจบของสหรัฐฯ ก็ได้
ในช่วงเวลานั้นเอง Lynch ต้องคอยบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่า เขาเชื่อในหุ้นที่เลือก เขาเชื่อในธุรกิจที่ลงทุน และเขาเชื่อว่าสหรัฐฯ สามารถควบคุมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้
Lynch บอกว่า อัตราเงินเฟ้อสองหลักเป็นสิ่งหายากและไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยเล่าว่า แม้แต่ผู้ถือหุ้นของกองทุนเคยเขียนจดหมายมาถึงเขาในช่วงเวลานั้น บอกด้วยความกังวลว่า มากกว่า 50% ของหุ้นในพอร์ต กำลังสูญเสียเงินอยู่ตอนนี้
อย่างไรก็ตาม Lynch ไม่หวั่นไหว เขามีความเชื่อที่แข็งแกร่งว่า บริษัทเหล่านี้จะผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ และไม่มีเหตุผลที่สหรัฐฯ จะล้มเพราะวิกฤตในครั้งนี้ ซึ่งสุดท้ายความเชื่อของ Lynch ถูกต้อง สหรัฐฯ สามารถผ่านปัญหาทุกอย่างได้ ทำให้ตลาดหุ้นกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง
คำแนะนำของ Lynch ที่บอกอยู่เสมอ คือ ไม่พยายามจับจังหวะตลาด และ Quote ที่โด่งดังของเขาคือ หากคุณใช้เวลาคาดคะเนเศรษฐกิจไป 13 นาทีต่อปี นั่นหมายความว่าคุณเสียไปแล้ว 10 นาทีโดยไม่มีประโยชน์ สิ่งที่คุณควรเข้าใจและให้ความสำคัญ คือ คุณภาพสินทรัพย์ที่คุณลงทุนอยู่
หุ้นที่ Lynch เลือกลงทุนและทนถือจนผ่านช่วงเงินเฟ้อพุ่งสูง 14% มาได้ เป็นธุรกิจที่เขาเข้าใจและสำรวจมาอย่างละเอียด ทำให้เขามั่นใจว่าธุรกิจต่างๆ ที่อยู่ในพอร์ตจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตมาได้อย่างแน่นอน โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปจับจังหวะตลาดหุ้น หรือแนวโน้มเศรษฐกิจให้เสียเวลา
Lynch บอกว่า ธุรกิจที่สามารถผ่านทนต่อวิกฤตต่างๆ ได้เป็นอย่างดี คือ หุ้นแข็งแกร่ง (Stalwarts) โดยลักษณะเด่นของหุ้นกลุ่มนี้ คือ มีกลุ่มลูกค้าซื้อซ้ำเรื่อยๆ และมีความแข็งแกร่งในตัวเอง จนสามารถผ่านวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างมั่นคง โดยลักษณะจะคล้ายกับหุ้นคุณค่าที่ Buffett แนะนำ
Ray Dalio ผู้จัดการกองทุน Bridgewater Associates ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เขามีมุมมองมากมายเกี่ยวภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รวมไปถึงคำแนะนำจัดพอร์ตลงทุนในช่วงเงินเฟ้อพุ่งสูง
Dalio มีจุดยืนว่า การถือเงินสดไม่ใช่ทางเลือกที่ปลอดภัย ถึงแม้ว่าจะมีความผันผวนในตลาดหุ้น ที่เกิดจากการระบาด Covid-19 สายพันธุ์โอไมครอนในช่วงเวลานั้นก็ตาม แต่ Dalio บอกว่า ภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูง จะกัดกินมูลค่าเงินสดที่คุณถืออยู่ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ภาวะเงินเฟ้อเร่งตัวได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจหลายภาคส่วน และทำให้เกิดความผันผวนในตลาดหุ้นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม Dalio มีมุมมองว่า ในช่วงเวลาที่วุ่นวายแบบนี้ การจัดพอร์ตลงทุนในสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งและปลอดภัย สร้างความสมดุลเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เคล็ดลับการบริหารพอร์ตของ Dalio คือ การกระจายความเสี่ยงเพื่อให้พอร์ตลงทุนสามารถรับมือกับความผันผวนที่เกิดขึ้นทุกรูปแบบ สำหรับภาวะเงินเฟ้อ Dalio แนะนำให้ กระจายความเสี่ยงไปในสินทรัพย์ที่แตกต่างกัน รวมไปถึงสินทรัพย์อื่นๆ ในต่างประเทศ เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นระยะสั้น
Dalio ได้พัฒนาสไตล์การลงทุนของตนเองขึ้นมา โดยมีเคล็ดลับคือ การลดความเสี่ยงให้ต่ำที่สุด ซึ่งเขาเลือกลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท เช่น หุ้น พันธบัตร ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ และ คริปโทเคอร์เรนซี โดยทีมงานขอเน้นไปที่สินทรัพย์การเงินอย่างหุ้น เพื่อให้คุณเข้าใจมากขึ้น
กลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นของ Dalio คือการลงทุนในธุรกิจต่างๆ ที่มีค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) ไม่มาก เพื่อลดความเสี่ยงให้ต่ำที่สุด ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเลือกลงทุนในตลาดหุ้น พอร์ตลงทุนควรมีหุ้นพลังงาน หุ้นเทคโนโลยี หุ้นอีคอมเมิร์ซ และหุ้นโรงแรมอยู่ด้วยกัน ด้วยค่าสหสัมพันธ์ที่ต่ำ เมื่อราคาหุ้นในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีความผันผวนขาลง ราคาหุ้นกลุ่มอื่นๆ มีแนวโน้มที่จะไม่ลดลงตามกัน นี่คือการจัดพอร์ตกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
กลยุทธ์ของ Dalio ทำให้พอร์ตลงทุนสามารถเอาชนะทุกวิกฤตที่เกิดขึ้นได้ และด้วยการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม จะทำให้คุณลงทุนได้อย่างสบายใจมากขึ้น โดยที่ไม่มีความกังวลกับความผันผวนระยะสั้นที่เกิดขึ้น
แนวทางการลงทุน Dalio จะมีความต่างจาก Buffett และ Lynch อยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม Dalio ได้ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า การจับจังหวะตลาด เป็นการตัดสินใจที่โง่เขลา ซึ่งคำแนะนำสอดคล้องกับ Lynch เช่นเดียวกัน
จากคำแนะนำของนักลงทุนระดับโลกทั้ง 3 คน แสดงให้เห็นว่า ตลาดหุ้นเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพอร์ตลงทุนในช่วงภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตามทั้ง 3 เซียนหุ้นแต่ละคนมีสไตล์การลงทุนที่แตกต่างกัน
สำหรับแผนการลงทุน Jitta Wealth ถูกออกแบบมา เพื่อตอบโจทย์หลักการลงทุนระยะยาวและสร้างผลตอบแทนทบต้น ดังนั้นเรามีจุดยืนในการบริหารความมั่งคั่ง เพื่อเอาชนะเงินเฟ้อและดอกเบี้ยต่ำ
นโยบาย Jitta Ranking ลงทุน ‘หุ้นดีราคาถูก’ และ ‘หุ้นดีมีโอกาสเติบโต’ ออกแบบมาภายใต้แนวคิดของ Buffett คือ ‘Buy a wonderful company at a fair price’ (ลงทุนในธุรกิจที่ยอดเยี่ยมในราคาที่เหมาะสม) และยึดมั่นในสไตล์การลงทุนแบบ VI (Value Investing)
เราพัฒนาเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) มาช่วยสแกนงบการเงินย้อนหลัง 10 ปี วิเคราะห์และประเมินโอกาสเติบโตของหุ้นนั้นๆ นำมาจัดอันดับหุ้นที่น่าลงทุนที่สุด พร้อมระบบลงทุนอัตโนมัติ (Automated Investing) คอยรีวิวและปรับพอร์ตทุกไตรมาสตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ปัจจัยหลัก 3 ข้อในของการจัดพอร์ตลงทุนของ Jitta Ranking คือ คุณภาพของธุรกิจ มูลค่าที่เหมาะสม และโอกาสเติบโตสร้างกำไรของธุรกิจ ดังนั้น 3 ปัจจัยเหล่านี้ เป็นการวิเคราะห์หุ้นพื้นฐานดี เพื่อเลือกหุ้นคุณค่า (Value Stock) และ หุ้นแข็งแกร่ง (Stalwarts) ในช่วงภาวะเงินเฟ้อ ของ Buffett และ Lynch นั่นเอง
นโยบาย Jitta Ranking คุณจะได้ลงทุนในธุรกิจที่ดี จากการวิเคราะห์ของ AI โดยปราศจากอารมณ์และอคติ เพราะสุดท้ายแล้ว ธุรกิจที่ดีและมีงบการเงินแข็งแกร่งจะสามารถผ่านพ้นความผันผวนต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น และปรับตัวสู่มูลค่าที่แท้จริงในระยะยาวได้เอง โดยที่คุณไม่ต้องกังวลถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นในระยะสั้น
นโยบาย Global ETF และ Thematic คือ การลงทุนใน ETF (Exchange Traded Fund) แต่มีความแตกต่างกัน คือ Global ETF เลือกลงทุนใน Passive ETF ในสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้และหุ้นทั่วโลก เพื่อกระจายความเสี่ยง ลดความผันผวน ส่วน Thematic เลือกจัดพอร์ตลงทุนใน Passive ETF ธีมธุรกิจและตลาดหุ้นที่กำลังเป็นเมกะเทรนด์และมีอนาคตไกล เป็นการลงทุนในหุ้นเฉพาะกลุ่มที่มีความผันผวนสูง แต่ก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงเช่นเดียวกัน
คำแนะนำของ Dalio เน้นกระจายความเสี่ยงในพอร์ตลงทุนให้มูลค่าโดยรวมมีความผันผวนน้อยที่สุด และรักษาความสมดุลในพอร์ต ดังนั้น Global ETF และ Thematic จึงตอบโจทย์ตามคำแนะนำนี้
ทั้งนี้ความแตกต่างของระหว่าง Thematic DIY กับ Thematic Optimize คือ การทำงานของระบบปรับพอร์ตอัตโนมัติ โดย Thematic DIY เกิดจากการเลือกธีมและเปลี่ยนธีมจากตัวคุณเอง ดังนั้นระบบปรับพอร์ตอัตโนมัติจะทำงานก็ต่อเมื่อธีมใดธีมหนึ่งในพอร์ตมีมูลค่าเปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 5% ระบบจะปรับสัดส่วนจากการขายและซื้อธีมในพอร์ตให้กลับมาเท่าๆ กัน
ส่วน Thematic Optimize เกิดจากการทำงานร่วมกันของ AI ของ Jitta Wealth และระบบปรับพอร์ตอัตโนมัติ ดังนั้นเมื่อถึงรอบการปรับพอร์ตทุกไตรมาส เทคโนโลยีเหล่านี้จะทำงานแทนคุณเอง
คุณจะเห็นได้ว่า หากจัดพอร์ตลงทุนกระจายความเสี่ยงตามกลยุทธ์ของ Dalio จะลดความเสี่ยงให้ต่ำที่สุด เพื่อผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ขอเพียงเชื่อมั่นในสินทรัพย์ที่ต้องการลงทุน และไม่หวั่นไหวกับมูลค่าพอร์ตที่ลดลงในระยะเวลาสั้นๆ มีจุดยืนสำคัญ คือ สร้างความมั่งคั่งระยะยาว ที่จะไม่ถูก ‘เงินเฟ้อ’ กัดกินมูลค่าเงินลงทุนนั่นเอง
อย่างไรก็ตามภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และจะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินการลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากคุณมีความเข้าใจหลักการลงทุนระยะยาว คุณจะรู้สึกสบายใจมากขึ้นกับการสร้างความมั่งคั่ง เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของภาวะเงินเฟ้อ และก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตลาดหุ้นสามารถผ่านวิกฤตต่างๆ ไปได้เช่นเดียวกัน คุณจะเห็นว่า ดัชนีตลาดหุ้นยังกลับมาเติบโตได้มากกว่าเดิม
สุดท้ายแล้วคนที่จะได้รับผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจจากพอร์ตลงทุน คือ ผู้ที่เข้าใจ มั่นใจ และอดทนต่อความผันผวนระยะสั้นๆ ไม่ใจร้อนรีบขายสินทรัพย์ตามอารมณ์ของตลาดหุ้น ลงทุนผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมายได้อย่างมั่นคง ทีมงาน Jitta Wealth หวังว่าบทความนี้ จะช่วยให้คุณมีความสบายใจมากขึ้นจากการลงทุนสร้างความมั่งคั่งกับเรา
หากคุณเชื่อมั่นในหลักการลงทุนระยะยาว และสนใจจะสร้างพอร์ตลงทุนตามคำแนะนำของเซียนหุ้นระดับโลกทั้ง 3 คน สามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลในเว็บไซต์ หรือสอบถามเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนได้ที่ Line ID: @JittaWealth
กองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth บริหารจัดการโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด ผู้บุกเบิกสตาร์ตอัป WealthTech สัญชาติไทยรายแรก ที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง กำกับโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ใบอนุญาตเลขที่ ลค-0105-01
ผลตอบแทนในอดีต ไม่สามารถการันตีผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจนโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนต่างประเทศอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
16 ธีมจาก Thematic ปี 2564 ใครกำไร ใครขาดทุน
ลงทุน Jitta Ranking ตอนที่ 1 เลือกจัดพอร์ตหุ้นประเทศไหนดี
จัดพอร์ตลงทุน Global ETF เอาชนะ ‘เงินเฟ้อ’ ด้วย Modern Portfolio Theory