Jitta Wealth Journal ปีที่ 2 ฉบับที่ 85 ประจำวันที่ 12 กรกฎาคม 2565 ทีมงานย่อยข่าวเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกมาให้คุณแล้ว ดังนี้
ไปติดตามกันได้เลย
ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ดัชนีเปิดหัวเดือนกรกฎาคมมาอย่างสดใส โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 4 วันติดกัน ขณะที่รายงานการประชุม FOMC ในเดือนมิถุนายนก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่า Fed จริงจังกับการแก้ปัญหาเงินเฟ้อในสหรัฐฯ
แม้ว่านโยบายของ Fed จะกระทบกับเศรษฐกิจบ้าง แต่ความกังวลด้านเงินเฟ้อลดลง หลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงมาต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ
ข้อมูลจาก S&P Capital IQ ณ 10 กรกฎาคม 2565
ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงปิดบวก แม้ยังมีความกังวลด้านมาตรการล็อกดาวน์ในเซี่ยงไฮ้ ขณะที่หุ้นผู้ผลิตรถยนต์พุ่งแรงหลังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน
ส่วนตลาดหุ้นเวียดนามยังปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยแตะระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือน เนื่องจากหุ้นพลังงานร่วงตามราคาน้ำมันดิบ นักลงทุนต่างชาติพากันเทขายหุ้นในตลาดหุ้นเวียดนามกว่า 749,000 ล้านดง
ข้อมูลจาก S&P Capital IQ ณ 10 กรกฎาคม 2565
เรื่องเด่นประเด็นฮิตของชาว Jitta Wealth Official
📌 ลงทุนแผน Jitta Ranking หุ้นเวียดนาม ได้หุ้นอะไรบ้าง มาแชร์กัน
📌 ลงทุนแผน Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ จะรู้ได้ยังไงว่ามีหุ้นอะไรบ้าง
ย้อนดูนโยบายของอดีตนายกรัฐมนตรี Shinzo Abe ผู้ล่วงลับ
ที่ช่วยพลิกฟื้นชะตากรรมเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง
คุณ Abe ได้มอบความหวัง โอกาส และการเริ่มต้นใหม่ไว้ให้คนญี่ปุ่น
การประชุม Fed เดือนมิถุนายน 2565 เป็นไปอย่างเคร่งเครียด โดย Fed ส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.50-0.75% ในการประชุมรอบเดือนกรกฎาคมนี้
สำหรับรายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการประชุมในครั้งนี้ เราได้สรุปมาให้กับคุณแล้ว โดยเนื้อหาสำคัญมีดังนี้
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตอบรับรายงานการประชุมเดือนมิถุนายนของ Fed ส่งสัญญาณถึงความเชื่อมั่นว่า Fed จะควบคุมเงินเฟ้อได้ และมีความเข้าใจถึงการปรับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเพื่อรับมือเงินเฟ้อด้วย
แต่เมื่อเกิดการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยแล้ว ย่อมเกิดข้อสงสัยขึ้นได้ว่าเมื่อไรที่ Fed จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้ง โดยสัญญาณในตลาดตราสารอนุพันธ์บ่งชี้ว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยเร็วที่สุดช่วงกลางปี 2566 แต่ยังต้องติดตามดูกันต่อไป
ถึงแม้ว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้น แต่ในภาพรวมยังเป็นการขยับขึ้นเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับการปรับตัวลงในช่วงก่อนหน้านี้ และในระยะยาว ความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอยังมีอยู่และเป็นไปได้ว่าจะสูงขึ้นกว่าเดิมในอนาคต
ล่าสุด โพลสำรวจนักลงทุนของ Deutsche Bank มองว่า S&P500 มีโอกาสลงมาแตะ 3,300 จุด (ในตอนนี้ดัชนี S&P500 อยู่ที่ระดับประมาณ 3,900 จุด)
Jason Trennert นักกลยุทธ์ของ Strategas Securities กล่าวว่า “เมื่อดูข้อมูลทางสถิติแล้ว คงเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าในตอนนี้คือจุดต่ำสุดของตลาดหุ้น”
นอกจากผลสำรวจจะบอกว่าดัชนี S&P500 มีโอกาสปรับตัวลงต่อแล้ว ยังบอกอีกด้วยว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะมาเยือนสหรัฐฯ ในปี 2565 – 2566 นี้แน่นอน
เมื่อตลาดปรับตัวลดลง ไม่มีใครคาดการณ์ได้อย่างแน่ชัดว่าในช่วงเวลาไหนคือจุดต่ำสุด หากคุณต้องการให้พอร์ตลงทุนแข็งแกร่ง การใช้กลยุทธ์ DCA จะช่วยให้คุณสบายใจมากขึ้น และเป็นการถัวเฉลี่ยต้นทุนให้คุณไปในตัวอีกด้วย
เมื่อเปรียบเทียบสินทรัพย์ที่คนลงทุนเยอะที่สุด ได้แก่ หุ้น พันธบัตร เงินฝาก และทองคำ สินทรัพย์ที่ได้ผลตอบแทนมากที่สุดคือ หุ้น แต่การลงทุนไม่ได้ง่ายอย่างนั้น คุณต้องเริ่มต้นอย่างไร ต้องเจออะไรบ้าง และต้องทำอย่างไร ถึงได้กำไร 60 เด้ง
จีนและสหรัฐฯ เตรียมถกประเด็นทางเศรษฐกิจร่วมกัน โดยเฉพาะปัญหาห่วงโซ่อุปทาน และมีความเป็นไปได้สูงว่าประธานาธิบดี Joe Biden จะสั่งให้เตรียมการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพื่อรับมือกับเงินเฟ้อในสหรัฐฯ
รองนายกฯ จีน Liu He ได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ Janet Yellen โดยประเด็นสำคัญอยู่ที่ มาตรการคว่ำบาตรและการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ต่อจีน ซึ่งเป็นประเด็นที่ทางการจีนกังวลและให้ความสำคัญมาก
ในการหารือระหว่าง Liu และ Yallen ได้มีการพูดคุยกันหลายเรื่อง โดยสามารถสรุปเนื้อหาการประชุมออกมาได้ดังนี้
สำหรับประเด็นการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจีน มีรายงานว่าประธานาธิบดี Biden ยังไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย แต่หากเกิดขึ้นจริงจะเป็นก้าวสำคัญสำหรับการร่วมมือกันของสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก
เศรษฐกิจจีนแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา และแน่นอนว่าสหรัฐฯ ทราบในจุดนี้ดี การร่วมมือกันของมหาอำนาจจะเกิดขึ้นหรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป แต่แนวโน้มของจีนในตอนนี้เริ่มกลับมาอยู่บนเส้นทางการเติบโตอีกครั้ง
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยได้รับผลกระทบจากการเทขายของหุ้น Alibaba Group และ Tencent หลังจากที่ทั้งสองบริษัทได้รับโทษให้จ่ายค่าปรับตามกฎระเบียบสำหรับการทำธุรกรรมในอดีต
การร่วงหล่นของหุ้นบิ๊กเทคจีนส่งผลกระทบให้ดัชนี Hang Seng Tech ตกลงมา -3.7% และหุ้นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดได้ปรับตัวลดลงคือ Alibaba Group ที่ปรับตัวลดลงถึง -6.36% ขณะที่ Tencent ก็ปรับตัวลดลง -3.29%
การปรับตัวลดลงของทั้งสองบริษัทบิ๊กเทคยักษ์ใหญ่เกิดขึ้นหลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลตลาดหุ้นจีน ได้แจ้งโทษปรับทั้งสองบริษัทเนื่องจากไม่ได้รายงานการซื้อขายธุรกิจในอดีตอย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ การปรับตัวลงดังกล่าวเกิดขึ้นจากความกังวลเรื่องการระบาดของ Covid-19 ในเซี่ยงไฮ้ ทำให้ประชาชนเกิดความกังวลเกี่ยวกับการล็อกดาวน์อีกครั้งตามมาตรการ Zero Covid ของรัฐบาลจีนนั่นเอง
แต่หากมองในมุมการลงทุนระยะยาว จะเห็นว่าการชำระค่าปรับของทั้งสองบริษัทยักษ์ใหญ่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต และในตอนนี้ราคาหุ้นของบริษัทก็อยู่ในช่วงที่น่าลงทุน จากการที่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายแล้วเมื่อความกังวลคลายลงไป หุ้นจะปรับตัวกลับสู่มูลค่าที่เหมาะสมเอง
ปัญหาหนักใจของทุกคนในตอนนี้ คงหนีไม่พ้นปัญหาเงินเฟ้อสูงที่เป็นกันทั่วโลก
ส่งผลกระทบต่อเงินในกระเป๋าของคุณอย่างแน่นอน
คุณจะอยู่รอดได้อย่างไร Than Money Trick มีคำตอบมาให้แล้ว
ยอดขายรถยนต์ EV ครึ่งปี 2565 ของ BYD ยักษ์ใหญ่ด้านการผลิตรถ EV จากจีนแซงหน้า Tesla ขึ้นเป็นผู้ผลิต EV อันดับ 1 ของโลกเรียบร้อยแล้ว แต่เป็นการรวมยอดขาย EV ประเภท PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) และ BEV (Battery Electric Vehicle) เข้าด้วยกัน
สำหรับยอดขายรถยนต์ประเภท PHEV และ BEV ทั้งหมดของ BYD ในครึ่งปีแรกของปี 2565 อยู่ที่ 641,350 คัน เพิ่มขึ้นกว่า 314% จากครึ่งปีแรกของปี 2564 ขณะที่ยอดขายรถ EV ของ Tesla ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV ทั้งหมดจะอยู่ที่ 564,000 คันในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565
แม้ยอดขายประเภท BEV ของ BYD จะยังตามหลัง Tesla อยู่มาก แต่นี่เป็นสัญญาณที่น่าประทับใจ และตอกย้ำความแข็งแกร่งของจีนในการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดของโลก รวมถึงนโยบายสนับสนุนการใช้รถยนต์ EV ของรัฐบาลจีน
จีนมีความได้เปรียบในเรื่องต้นทุนการผลิตจากการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) สำหรับทั้ง EV แบตเตอรี พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำกว่าประเทศอื่น และมีโอกาสสูงที่จีนจะมีส่วนแบ่งในอุตสาหกรรม EV เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นผู้นำตลาดโลกในอนาคต
ธีมพลังงานสะอาดจีน (KGRN) ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 16% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และเป็นหุ้นกลุ่มที่ช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง เป็นไปได้สูงว่าเป้าหมาย GDP เติบโต 5.5% ในปีนี้ของจีนอาจจะมีอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญ
Passive Way Story 8 เรื่องเล่าจาก Wall Street ลงทุนไม่พัง ต้องฟังทางนี้ Episode 08 – การล่มสลายครั้งสำคัญในชีวิตของ Ray Dalio หนทางที่ยิ่งใหญ่ย่อมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เส้นทางของเขาจะเป็นอย่างไร ติดตามได้แล้วที่นี่
กด Subscribe พอดคาสช่องทางต่างๆ
Bloomberg รายงานว่าเงินเฟ้อของไต้หวันพุ่งสูงสุดในรอบ 14 ปี สร้างแรงกดดันให้ทางการไต้หวันต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยระมัดระวังไม่ให้กระทบกับเศรษฐกิจในท้องถิ่น
ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิน 3% เป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน โดย Meng Chye Phoo นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคาร Standard Chartered Plc ในไต้หวันกล่าวว่า “ธนาคารกลางไต้หวันจะต้องสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับเงินเฟ้อ”
ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมก็ต้องแบกรับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นเช่นกัน โดยดัชนีราคาผู้ผลิต (Producer Price Index) ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาสูงขึ้นถึง 14% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง TSMC (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company) ก็ได้รับผลกระทบด้วยเนื่องจากค่าไฟฟ้าสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตชิปสูงขึ้นตามไปด้วย ขณะที่ภาวะขาดแคลนชิปทั่วโลกยังมีอยู่และ TSMC ยังต้องเพิ่มกำลังการผลิตชิปอย่างต่อเนื่อง
ทางการสหรัฐฯ ร้องขอให้บริษัทผู้พัฒนาเครื่องผลิตชิปรายใหญ่อย่าง ASML งดส่งเครื่องผลิตชิปให้จีน โดยคาดว่าอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก
นอกจากนี้ การแทรกแซงของสหรัฐฯ ทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีนจัดซื้อสินค้าในประเทศมากขึ้น ส่งผลดีต่อราคาหุ้นของบริษัทในห่วงโซ่อุปทานการผลิตชิป โดยราคาหุ้นของ Advanced Micro-Fabrication Equipment และ NAURA Technology Group ปรับตัวขึ้นมากกว่า 10% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับราคาหุ้นของ Piotech และ Kingsemi
Shi Junbo ผู้จัดการกองทุนจาก Hangzhou XiYan Asset Management กล่าวว่า ‘ราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีน คือการพยายามใช้เครื่องผลิตชิปและเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศมากขึ้น’
จีนมีความสามารถในการ Re-Engineering สูง หรือที่ทั้งโลกค่อนขอดกันว่า ‘Copy and Development’ ยิ่งสหรัฐฯ กดดันและแทรกแซงมากเท่าไหร่ บริษัทจีนยิ่งต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้ก้าวล้ำมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
นี่คือ 7 ข่าวสารที่น่าสนใจจากทั่วโลก ที่เรารวบรวมมาให้ใน Jitta Wealth Journal
ตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวมาแบบเงียบๆ พร้อมกับอีกหลายอุตสาหกรรมในจีนที่มีพัฒนาการโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ EV หรือพลังงานสะอาดจีน
เราเชื่อว่าในช่วงที่ผ่านมา หลายคนถือเงินสดและพยายาม ‘จับจังหวะ’ ช้อนหุ้นจีน แต่รู้ตัวอีกทีก็สายไปแล้ว เพราะตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวขึ้นมามากกว่า 15% แล้ว
เป็นอีกสถานการณ์ที่นักลงทุนต้องเคยประสบกันมาบ้าง นั่นคือการ ‘ตกรถ’ ไม่ทันได้ซื้อหุ้นตอนที่เริ่มฟื้นตัว ถือเป็นบทเรียนอีกครั้งว่าถ้าคุณเจอสินทรัพย์ที่มี ‘พื้นฐานดี ราคาเหมาะสม’ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือกองทุนอะไรก็ตาม ก็ควรจะลงทุนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ แล้วผลตอบแทนจะมาหาคุณเอง
เพราะการไม่ได้ลงทุนตอนที่ตลาดหุ้นเริ่มฟื้นตัวหลายๆ ครั้งเข้า ในระยะยาวจะทำให้คุณเสียผลตอบแทนไปมหาศาลอย่างน่าเสียดาย
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ขอให้คุณรักษาสุขภาพกายและใจให้แข็งแรง
แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า
Jitta Wealth Journal – เวียดนามโชว์ของ GDP ครึ่งปีแรกโต 6.4%