Jitta Wealth Journal - ส่องต้นตอวิกฤต China Evergrande

8 ธันวาคม 2564Jitta WealthJitta Wealth Journal

รับมือตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนจาก ‘โอไมครอน’

Jitta Wealth Journal ฉบับที่ 54 ประจำวันที่ 8 เดือนธันวาคม 2564 ทีมงานได้สรุปข่าวสารและสถานการณ์การลงทุนทั่วโลกส่งตรงถึงคุณแล้ว ดังนี้

  • China Evergrande ใกล้ผิดนัดชำระหนี้
  • ‘โอไมครอน’ กดดันตลาดหุ้นผันผวน
  • Didi เตรียมย้ายไปจดทะเบียนในฮ่องกง
  • โครงการพลังงานสะอาดในทะเลทรายจีน 100 กิกะวัตต์
  • คาดเศรษฐกิจเวียดนามเติบโต 6.6% ปี 2565
  • Grab เข้าเทรดตลาดหุ้น Nasdaq
  • ราคาหุ้น DocuSign ร่วงมากกว่า 42%
  • Intel ออกโรง สหรัฐฯ สนับสนุนผู้ผลิตชิปสัญชาติอเมริกัน

ไปติดตามกันได้เลย


Jitta Wealth

เบอร์ใหม่ แต่จริงใจเหมือนเดิม

Jitta Wealth เปลี่ยนเบอร์ติดต่อมาเป็น 02-460-8888 ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมเป็นต้นไป 

คุณสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ในวันจันทร์ – วันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 9:00 – 18:00 น. ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ 


China Evergrande ใกล้ผิดนัดชำระหนี้

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนกำลังดิ้นรนต่อสู้จากวิกฤต China Evergrande ที่กำลังส่อแววผิดนัดชำระหนี้เงินกู้และหุ้นกู้ โดยอาจสร้างหายนะครั้งใหญ่แก่เศรษฐกิจของจีนและส่งผลกระทบในวงกว้าง 

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา China Evergrande ระบุว่า ทางบริษัทจะไม่รับประกัน ว่าจะปฏิบัติตามภาระหนี้ผูกพันได้ และเจ้าหนี้ได้เรียกร้องให้ชำระหนี้ทันทีเป็นจำนวนเงินรวม 260 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

หนี้ก้อนเร่งด่วนที่สุด คือ การชำระคืน 82.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐในวันจันทร์ที่ผ่านมา จากเส้นตายที่ถูกเลื่อนมา 30 วัน ที่ทาง China Evergrande ไม่สามารถปฏิบัติตามภาระผูกพันในวันครบกำหนดเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน

ข่าวเชิงลบนี้ ส่งผลให้ราคาหุ้น China Evergrande ในตลาดหุ้นฮ่องกง ยังร่วงลงอีก 20% ในวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในประวัติการณ์นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2553 นักวิเคราะห์คาดว่า ราคาหุ้นจะทำนิวโลว์ต่ออีก

การผิดนัดชำระหนี้ของ China Evergrande กำลังส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาคการเงิน และภาคการก่อสร้าง รวมไปถึงตลาดหุ้นจีน ฮ่องกง และทั่วโลก

นับรวมหนี้สินของ China Evergrande รวมๆ กว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่น่ากังวล คือ China Evergrande เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อันดับที่ 2 ของจีน เป็นรอง Country Garden ที่อยู่ในตลาดหุ้นฮ่องกงเช่นเดียวกัน

การผิดนัดชำระหนี้ของ China Evergrande เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจีนเท่านั้น จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายบริษัทในกลุ่มเดียวกันที่ส่อแววผิดนัดชำระหนี้ให้ผู้ถือหุ้นกู้ เช่น บริษัท Sunshine 100 China บริษัท Kaisa Group และบริษัท China Aoyuan Property 

ที่มาที่ไปเกิดจากทางการจีนต้องการจำกัดการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากกังวลต่อการเก็งกำไรและความร้อนแรงในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดวิกฤตฟองสบู่

มาตรการของทางการจีน คือ ออกกฎ 3 เส้นยาแดง (Red Lines) กับบริษัทพัฒนาอสังริมทรัพย์จีน เพื่อการคุมการก่อหนี้ ได้แก่ 

  • สัดส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ (Debt to Assets Ratio) ไม่เกิน 70% 
  • สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) ไม่เกิน 100%
  • สัดส่วนเงินสดต่อหนี้ระยะสั้น (Cash to Short-term-debt Ratio) ไม่เกิน 100%

หากบริษัทไม่ผ่านเกณฑ์ธนาคาร ซึ่งส่วนใหญ่มีรัฐเป็นเจ้าของ ก็จะอนุมัติสินเชื่อโครงการให้ยากขึ้น  เงื่อนไขนี้เอง ทำให้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขาดสภาพคล่องในการขยายโครงการ จนนำไปสู่การออกหุ้นกู้ให้กับสถาบันการเงิน ทั้งในประเทศ (Onshore) และต่างประเทศ (Offshore)

ถ้าบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไม่เร่งขยายโครงการและเปิดตัวที่อยู่อาศัยยูนิตใหม่ๆ มากเกินไป หรือไม่สร้างหนี้สินจนเป็นภาระทางการเงินให้กับบริษัท วิกฤตหนี้และผิดนัดชำระหนี้อาจจะไม่รุนแรงถึงขนาดนี้

นี่คือ บทเรียนของบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จีน ในฐานะนักลงทุน ยังคงต้องติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด ว่า ทางออกของวิกฤตนี้จะไปทางไหน บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ส่อแววผิดนัดชำระหนี้จะล้มละลายหรือไม่

ด้านทางการจีนพยายามเร่งแก้ไขวิกฤตนี้ ไม่ให้ลุกลาม ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ออกมาเคลื่อนไหวหลังการประกาศของ China Evergrande และกดดัน Xu Jiayin ผู้ก่อตั้ง Evergrande ชำระหนี้ของบริษัทให้เร็วที่สุด 

คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์จีน (CSRC) ระบุว่า ผลกระทบจาก China Evergrande ต่อตลาดทุนยังสามารถควบคุมได้ เชื่อว่าวิกฤตดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจของจีน และสุดท้ายจีนจะแก้ปัญหาตรงนี้ได้อย่างรวดเร็ว 

สำหรับพอร์ตลงทุน Jitta Ranking จีน จะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากวิกฤต China Evergrande จากแรงกดดันขาลงในตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง แม้ว่าตัวบริษัทจะอยู่ในตลาดหุ้นฮ่องกงก็ตาม แต่ด้วยหลักการลงทุนใน ‘หุ้นดีราคาถูก’ ผลกระทบในเชิงราคาหุ้นที่อยู่ในพอร์ต Jitta Ranking ของคุณจะน้อยกว่าตลาดโดยรวม

ส่วนพอร์ตลงทุน Thematic DIY ธีมตลาดหุ้นจีน ยังมีการลงทุนใน China Evergrande อยู่เพียง 0.02% เท่านั้น แน่นอนว่า ได้รับผลกระทบขาลงทางอ้อมในตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงเช่นเดียวกัน

หากบริษัทที่งบการเงินไม่ดี สุดท้ายแล้ว ETF จะลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นตัวนั้นลงไป ถ้าคุณยังเชื่อมั่นใจศักยภาพของบริษัทอื่นๆ ในตลาดหุ้นจีน นี่คือ โอกาสที่จะเพิ่มทุนเข้ามาได้ แต่หากคุณต้องการรอดูสถานการณ์ก่อน ก็สามารถทำได้เช่นกัน


Jitta Ranking

ลงทุน ‘Jitta Ranking’ ตอนที่ 1 เลือกจัดพอร์ตหุ้นประเทศไหนดี 

Jitta Ranking เป็นการลงทุนในหุ้นรายตัวของตลาดหุ้นในประเทศต่างๆ ประกอบด้วย ไทย เวียดนาม จีน และสหรัฐอเมริกา แล้วคุณจะเลือกลงทุนในประเทศไหนดี บทความนี้มีคำตอบ 

อ่านต่อ


‘โอไมครอน’ กดดันตลาดหุ้นผันผวน

ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงเคลื่อนไหวผันผวน ขึ้นๆ ลงๆ ในแต่ละวันทำการ จากความกังวลการแพร่ระบาดของ Covid-19 สายพันธุ์ใหม่ ‘โอไมครอน’ ว่าจะรุนแรงกว่าสายพันธุ์เดลตา

แต่ละประเทศต่างรายงานว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่รายแรกในสายพันธุ์โอไมครอนอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางข้อกังขาว่า ยาและวัคซีนที่มีอยู่จะมีประสิทธิภาพรักษาและป้องกันได้มากแค่ไหน

รัฐบาลแต่ละประเทศพยายามสร้างความมั่นใจว่า ยังรับมือกับการระบาดของไวรัสโอไมครอนได้ อย่างกระทรวงสาธารณสุขของอินเดียเปิดเผยว่า ความรุนแรงของสายพันธุ์ใหม่ในอินเดียอาจอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากอินเดียมีอัตราการฉีดวัคซีนสูง

ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ของฝรั่งเศสวิเคราะห์ว่า ไวรัสโอไมครอนจะมาเป็นสายพันธุ์หลักในสิ้นเดือนมกราคมปี 2565 ทดแทนสายพันธุ์เดลตาที่จะลดความรุนแรงลง ขณะเดียวกันยังเชื่อมั่นในการระมัดระวังตัวของประชาชนและมาตรการเฝ้าระวังของรัฐบาล

สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยังมั่นใจในทางเดียวกัน คือ อัตราการฉีดวัคซีนที่สูงจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ รวมทั้งวัคซีนบูสเตอร์ที่รัฐบาลแต่ละประเทศพยายามเร่งฉีด เพื่อเป็นอาวุธป้องกัน Covid-19

ด้านตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก JPMorgan มองว่า ความผันผวนขาลงจากแรงเทขายที่เกิดขึ้นจากสายพันธุ์โอไมครอน อาจเป็นโอกาสทองของนักลงทุนในการช้อนซื้อหุ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มวัฏจักร (Cyclical Stock) ที่ยังคงได้รับประโยชน์จากการเปิดเมือง และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงผลตอบแทนตราสารหนี้ที่สูงขึ้น 

ถึงไวรัสโอไมครอนจะมีโอกาสแพร่เชื้อได้มากกว่าเดิม แต่เจ้าหน้าที่ในวงการสาธารณสุขมองว่า อาจจะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการประเมินผลความรุนแรงของไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ 

ขณะเดียวกันก็คาดการณ์ว่า สายพันธุ์โอไมครอนจะมีความรุนแรงน้อยลง ตามวิวัฒนาการของไวรัส และประสบการณ์การรับมือการแพร่ระบาดในแต่ละประเทศ ซึ่งอาจจะส่งผลดีต่อตลาดการเงินการลงทุน คาดว่า จะเป็นสัญญาณสิ้นสุดการระบาดครั้งใหญ่ก็เป็นไปได้

สำหรับไวรัส Covid-19 สายพันธุ์ที่ 5 นี้ นับเป็นการอุบัติใหม่ที่เกิดขึ้นในรอบ 2 ปี ที่ทั้งโลกเผชิญกับการแพร่ระบาด จริงๆ แล้วความผันผวนขาลง เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เทียบไม่ได้เลยจากภาวะตลาดหุ้นดิ่งลงทั่วโลกเมื่อเดือนมีนาคม 2563

ในช่วง 2-3 สัปดาห์นี้ จะเป็นช่วงเวลาวัดใจว่า แต่ละประเทศจะรับมือสายพันธุ์โอไมครอนได้หรือไม่ ท่ามกลางความพยายามในการเปิดเมือง เพื่อให้ผู้คนทั่วโลกเดินทางได้อีกครั้ง

ขณะเดียวกันก็ติดตามความเคลื่อนไหวในแวดวงเฮลท์แคร์ว่า ยารักษาและวัคซีนป้องกันที่มีอยู่เดิมจะมีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่ หรือจะมีนวัตกรรมใหม่ๆ อะไรมาช่วยรับมือกับไวรัสโอไมครอน

ในความผันผวนที่เกิดขึ้นนี้ มีทั้งผลกระทบเชิงบวกและลบ อยู่ที่ว่า คุณจะมองเป็นโอกาสในการเพิ่มทุน หรือรอประเมินสถานการณ์ลงทุนอีกสักระยะ วิธีการรับมือและดูแลพอร์ตของแต่ละคน…ไม่เหมือนกัน ไม่มีถูกไม่มีผิด


หมอยุ่งอยากมีเวลา

มารู้จัก Global ETF ของ Jitta Wealth กัน

เพจหมอยุ่งอยากมีเวลา จะพาคุณไปทำความรู้จักพอร์ตลงทุนสูตรสำเร็จ Global ETF ทางเลือกในการลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลก พร้อมกระจายความเสี่ยงเสร็จสรรพ ผ่านการคัดเลือก Passive ETF คุณภาพดี ที่จะพาพอร์ตฝ่าฝันทุกๆ วิกฤตได้ 

อ่านต่อ 


จีน

Didi เตรียมย้ายไปจดทะเบียนในฮ่องกง 

Didi Global แอปพลิเคชันเรียกรถยักษ์ใหญ่ของจีน เตรียมถอนตัวออกจากตลาดหุ้นนิวยอร์ก และย้ายไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงแทน หลังจากเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้เพียง 6 เดือน 

มีรายงานข่าวว่า ทางการจีนได้ร้องขอให้ผู้บริหารถอนตัวออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ จากความกังวลว่า ข้อมูลของเส้นทางคมนาคมในจีน และข้อมูลของลูกค้าชาวจีนจะรั่วไหล กระทบต่อความมั่นคงประเทศ 

การถอนตัวออกจากตลาดหุ้นนิวยอร์ก อาจจะส่งผลกระทบไปถึงราคาหุ้น Uber และ Softbank ผู้ถือหุ้น Didi ในสัดส่วนรวมกันกว่า 30% ด้วย

จีนพัฒนาโครงการพลังงานสะอาดในทะเลทราย 100 กิกะวัตต์

ประธานาธิบดี Xi Jinping ได้ประกาศก้าวสำคัญของจีน คือการพัฒนาโครงการพลังงานสะอาดในพื้นที่ทะเลทรายของประเทศ โดยจะโฟกัสไปที่พลังงานลมและแสงอาทิตย์

หากการก่อสร้างโครงการเป็นไปอย่างราบรื่น จีนจะสามารถสร้างพลังงานสะอาดมากกว่า 100 กิกะวัตต์ ซึ่งมากกว่าการใช้พลังงานลมและแสงอาทิตย์ทั้งหมดของอินเดีย 

Xi กล่าวว่า จีนจะสนับสนุนและส่งเสริมโครงการที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดอย่างจริงจัง และเร่งการวางแผนก่อสร้างโครงการพลังงานลมและแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ ในพื้นที่ทะเลทรายของประเทศ

นอกจากนี้จีนยังได้จัดตั้งกองทุน Kunming Biodiversity ที่สนับสนุนเงินทุนมากกว่า 1,500 ล้านหยวน เพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ

จีนมีความมุ่งหวังจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์สุทธิ ภายในปี 2603 ซึ่ง Xi ได้ให้สัญญาว่า จีนจะหยุดสร้างโรงงานถ่านหินในประเทศ และไปพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดทั้งหมด เพราะเป็นพลังงานที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโลก

Xi ได้มองว่า เรื่องการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพลังงานดั้งเดิมมาใช้พลังงานสะอาด เป็นสิ่งที่โลกต้องให้ร่วมมือกันอย่างแข็งแกร่ง ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของโลกอย่างยั่งยืนในอนาคต

ธีมพลังงานสะอาดจีนของ Jitta Wealth เป็นธีมที่ล้อไปกับเมกะเทรนด์โลก และการสนับสนุนโครงการพลังงานสะอาดของจีน ที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งจีนมีเป้าหมายชัดเจน และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดโลกมาอย่างยาวนาน ดังนั้นธีมพลังงานสะอาดยังมีแววไปได้อีกไกล และเติบโตในอนาคตได้


เวียดนาม 

คาดเศรษฐกิจเวียดนามเติบโต 6.6% ปี 2565 

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) บอกว่า เศรษฐกิจเวียดนามกำลังส่งสัญญาณฟื้นตัวในไตรมาสที่ 4 ถึงแม้ว่าจะยังเผชิญการแพร่ระบาดของ Covid-19 อยู่

IMF คาดว่า ไตรมาสที่ 4 เวียดนามจะสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ทำให้อัตราการเติบโตของ GDP อยู่ที่ 2.5% ในปี 2564 และคาดการณ์ว่า จะเติบโตสูงถึง 6.6% ในปี 2565 

ถึงแม้ว่าการระบาดของ Covid-19 ในเวียดนาม จะส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน และดำเนินธุรกิจของบริษัท SME แต่เวียดนามยังคงควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ และยังมีแรงหนุนจากการลงทุนในตลาดหุ้น ทั้งจากนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนต่างประเทศ

ปลายเดือนพฤศจิกายน ดัชนี VNI ของตลาดหุ้นโฮจิมินห์ขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 1,500 จุด นี่เป็นอีกบทพิสูจน์ของปัจจัยพื้นฐานอันแข็งแกร่งของเศรษฐกิจเวียดนาม และในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า เวียดนามยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก


BangkokBiz

Jitta Wealth สแกน 4 เทรนด์น่าลงทุนปี 2565 ปั้นผลตอบแทน 20-30% ต่อปี 

ปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา คุณตราวุทธิ์เข้าร่วมงานสัมมนา TRENDS : Driving the Future จัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ไฮไลต์เทรนด์การลงทุนปีหน้า และแนะนำโอกาสลงทุนในธุรกิจเมกะเทรนด์ 

อ่านต่อ


สหรัฐอเมริกา 

Grab เข้าเทรดตลาดหุ้น Nasdaq

Grab เข้าเทรดตลาดหุ้น Nasdaq วันแรก (2 ธ.ค.) พุ่ง 18% ก่อนร่วงเกือบ 21% ด้าน CEO ของ Grab ไม่หวั่นใจที่ราคาหุ้นผันผวน มั่นใจในโอกาสทางธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน 

บริษัททำสถิติดีล SPAC (Special-purpose Acquisition Company) มูลค่าสูงที่สุด 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังควบรวมกิจการกับ Altimeter Growth ที่เป็น Blank-check Company ในตลาดหุ้น Nasdaq

Grab เป็นสตาร์ตอัปจากอาเซียนที่มีศักยภาพสูงในการเข้าสู่ตลาดหุ้น มีโมเดลธุรกิจคล้าย Uber ที่เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทด้วย ดีล SPAC ทำให้ Grab เข้าตลาดหุ้นได้ง่ายขึ้น คล้ายๆ กับการทำ Backdoor Listing โดยที่ไม่ผ่านการทำ Initial Public Offering (IPO) ซึ่งมีความยุ่งยากและกระบวนการเยอะกว่า

ราคาหุ้น DocuSign ร่วงมากกว่า 42%

DocuSign บริษัทซอฟต์แวร์ E-signature ราคาหุ้นร่วงลงถึง 42.2% จากปริมาณการใช้งานที่ลดลง เพราะผู้คนเริ่มกลับมาทำงานกันปกติ ทำให้สามารถทำธุรกรรมการเซ็นชื่อแบบเดิมได้

นักวิเคราะห์ของ Wall Street และสถาบันการเงินอย่าง UBS และ JPMorgan เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพื่อปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือและราคาเป้าหมายของ DocuSign ลง หลังจากที่ผู้คนเริ่มกลับมาทำงานกันเป็นปกติ ทำให้พากันมายกเลิกการใช้บริการของ DocuSign

อย่างไรก็ตามราคา DocuSign มีสัญญาณที่ดีขึ้น หลังจากที่ Ark Invest เข้ามาซื้อหุ้นเกือบ 747,000 หุ้นในวันศุกร์ (3 ธ.ค.) ส่งผลให้หุ้น DocuSign ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.51% นอกจากนี้ CEO ของ DocuSign ยังมั่นใจว่า จะนำบริษัทกลับสู่เส้นทางเติบโตให้เร็วที่สุด

DocuSign อยู่ใน Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ และ Thematic ธีมคลาวด์ ผลกระทบที่เกิดขึ้นยังเป็นระยะสั้นๆ อยู่ที่ว่า บริษัทจะใช้กลยุทธ์มาดึงดูดผู้ใช้งานกลับมาได้อย่างไร

DocuSign เป็นหนึ่งในบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง Covid-19 เนื่องจากผู้คนจำเป็นต้อง Work from Home การเซ็นเอกสารออนไลน์เป็นสิ่งจำเป็น ถ้าในอนาคตยังมีการทำธุรกรรมออนไลน์ DocuSign ก็จะยังคงมีหนทางเติบโตต่อไปได้อย่างแน่นอน

Intel ออกโรง สหรัฐฯ สนับสนุนผู้ผลิตชิปสัญชาติอเมริกัน 

Intel ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลก ออกมาระบุว่า สหรัฐฯ ควรให้การสนับสนุนและลงทุนในบริษัทผู้ผลิตชิปสัญชาติอเมริกัน มากกว่า Taiwan Semiconductor (TSMC) และ Samsung คู่แข่งจากเอเชีย เพื่อควบคุมทรัพย์สินทางปัญญาไม่ให้รั่วไหลออกนอกประเทศ 

โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา Samsung ประกาศแผนลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิปแห่งใหม่มูลค่า 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในรัฐเท็กซัส ส่วน TSMC เริ่มก่อสร้างโรงงานชิปแห่งใหม่มูลค่ากว่า 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในรัฐแอริโซนาไปแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยการสร้างโรงงานใหม่ของทั้ง 2 บริษัท เป็นผลมาจากการส่งเสริมของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการให้มีฐานการผลิตชิปในประเทศมากขึ้น 

Intel กล่าวว่า การดึงฐานการผลิตชิปของ TSMC และ Samsung เข้ามาในสหรัฐฯ ถือเป็นเรื่องดีในแง่การลดความเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ แต่การสนับสนุนผู้ผลิตชิปสัญชาติอเมริกันจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศมากกว่า 


Jitta Wealth

Jitta เป็นใคร ทำไมใครๆ ก็ลงทุนกับ Jitta Wealth 

Jitta เป็นใคร Jitta Wealth เชื่อถือได้หรือไม่ แล้วถ้า Jitta Wealth เลิกให้บริการ เงินลงทุนของคุณจะไปอยู่ที่ไหน ทำความรู้จักกับเราได้จากบทความนี้ 

อ่านต่อ 


Jitta Wealth

กองทุนส่วนบุคคลคืออะไร ทำไม Jitta Wealth ถึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ 

ทำความรู้จักโครงสร้างของธุรกิจบริหารเงินหรือทรัพย์สินในรูปแบบของกองทุนส่วนบุคคล เพื่อความมั่นใจที่มากขึ้นว่า เงินลงทุนองคุณได้รับการดูแลอย่างดี

อ่านต่อ


นี่คือ สรุปข่าวสารการลงทุนทั่วโลกจาก Jitta Wealth Journal ที่ทีมงานย่อยมาให้คุณได้ติดตามไปพร้อมๆ กัน รวมทั้งวิเคราะห์สถานการณ์ว่า คุณควรรับมือกับพอร์ตลงทุนอย่างไร

เดือนสุดท้ายของปี 2564 แล้ว ท่ามกลางความหวังว่า เศรษฐกิจโลกจะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างดี และทั่วโลกจะกลับมาเดินทางได้อีกครั้ง แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่มีใครคาดคิดถึง Covid-19 สายพันธุ์โอไมครอน

แต่ประสบการณ์และบทเรียนที่ทั้งโลกได้เรียนรู้กันมาตลอดเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา จะทำให้พวกเราผ่านความผันผวนนี้ไปได้

แล้วพบกันสัปดาห์หน้า


อ่าน Jitta Wealth Journal ย้อนหลัง 

Jitta Wealth Journal – วิธีรับมือกับ ‘โอไมครอน’ ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 

Jitta Wealth Journal – ‘คริปโทเคอร์เรนซี’ จะโค่นบัลลังก์เงินดอลลาร์

บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด
1111/9-10 ถนนลาดพร้าว แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900



สงวนลิขสิทธิ์ © 2024 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด
เนื้อหาทั้งหมดบนเว็บไซต์นี้จัดทำขึ้นโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด (“Jitta Wealth”) ผู้บริหารจัดการบัญชีกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth ที่ได้รับใบอนุญาตบริหารจัดการกองทุนประเภท ค เลขที่ ลค-0105-01 และดำเนินการภายใต้การกำกับ ดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) Jitta Wealth ให้บริการกองทุนส่วนบุคคลสำหรับผู้ลงทุนรายย่อย ที่ต้องการนำเงินมาลงทุนในตลาดทุน โดยใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์หุ้นและกลยุทธ์การลงทุนที่จัดทำโดยบริษัทจิตตะ ดอท คอม จำกัด (“Jitta.com”) บริหารจัดการให้แบบอัตโนมัติ เพื่อผลตอบแทนระยะยาวที่สูงกว่าดัชนีตลาด การลงทุนมีความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียกำไรหรือเงินต้น กลยุทธ์การลงทุนของ Jitta Wealth ใช้ข้อมูลวิเคราะห์หุ้นของ Jitta.com ซึ่งคิดคำนวณจากข้อมูลในอดีต อัตราผลตอบแทน การเปรียบเทียบหรือการจัดอันดับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนบนเว็บไซต์นี้เป็นสมมุติฐานทางสถิติจากข้อมูลที่มี เพื่อใช้ประกอบการอธิบายรายละเอียดบริการเท่านั้น ไม่สามารถใช้รับประกันผลตอบแทนในอนาคตได้ สถานการณ์ในโลกที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะแง่บวกหรือแง่ลบ สามารถส่งผลกระทบ ต่อทั้งอุตสาหกรรมหรือกลุ่มธุรกิจ และอาจทำให้พอร์ตหุ้นที่มีการกระจายความเสี่ยงค่อนข้างมากแล้ว ประสบความผันผวนด้านราคาได้ Jitta Wealth ได้รับอนุญาตให้บริหารจัดการกองทุนเพื่อช่วยผู้ลงทุนบรรลุเป้าหมายด้านการเงินผ่านการ ลงทุนในสินทรัพย์ประเภท หุ้นโดยไม่มีเจตนาแนะนำความเหมาะสมของกลยุทธ์การลงทุนใดๆ แก่ผู้ลงทุน ผู้ลงทุนควรคำนึงถึงเป้าหมายการลงทุนส่วนตัว และค่าธรรมเนียมต่างๆ ของ Jitta Wealth ก่อนลงทุน
“Jitta Wealth” เป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด