Jitta Wealth Journal ปีที่ 3 ฉบับที่ 134 ประจำวันที่ 20 มิถุนายน 2566
Fed ตัดสินใจคงดอกเบี้ยเท่าเดิม แต่ยังคงมีสัญญาณปรับขึ้นอีกในปีนี้ หุ้นเทคสหรัฐฯ กลับมาพุ่งแรงโดดเด่นอีกครั้ง ตลาดหุ้นเวียดนามมีแนวโน้มดีอย่างต่อเนื่อง โตสูงสุดในรอบ 8 เดือน ธนาคารจีนประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ หวังพยุงเศรษฐกิจ ธนาคารญี่ปุ่นมีมติคงอัตราดอกเบี้ย -0.1% ดันเศรษฐกิจฟื้นเต็มที่
รับข้อมูลข่าวสารและเกร็ดความรู้การลงทุนดีๆ จากเราได้ที่ Line ID: @jittawealth
S&P 500 +2.58% DJIA +1.25% NASDAQ +3.25%
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกถ้วนหน้าโดยเฉพาะ Nasdaq ปิดระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือน หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หลายรายการออกมาดี และทำให้มีแนวโน้มว่า Fed จะหยุดปรับขึ้นดอกเบี้ยในไม่ช้านี้
CSI 300 +3.30% TOPIX +3.42% VNI +0.69% SET +0.28%
ธนาคารกลางจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้นกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ นักลงทุนยังดันตลาดญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์เวียดนามหลายส่วนเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนที่ตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่บวกแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ข้อมูลจาก S&P Capital IQ ณ 18 มิถุนายน 2566
ออกตัวคว้า ‘หุ้นดีราคาถูก’ ก่อนใครกับ Jitta Ranking พายุกำลังพัดผ่าน เบิกฟ้าใหม่ให้ตลาดหุ้น ลงทุนหรือเพิ่มทุนในนโยบาย Jitta Ranking แผนใดก็ได้ ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 66 นี้ รับเครดิตค่าธรรมเนียมสูงสุด 100,000 บาท
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ครั้งล่าสุด มีข้อสรุปให้คงอัตราดอกเบี้ยชั่วคราวไว้ที่ 5 – 5.25% เพื่อลดแรงกดดันทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีสัญญาณว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีกประมาณ 0.5% ภายในสิ้นปีนี้
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งถัดไป จะคำนึงถึงผลกระทบของนโยบายทางการเงิน ความล่าช้าของนโยบายการเงินที่ส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อ การพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเงิน
ส่วนเรื่องอัตราดอกเบี้ยคาดการณ์ของ Fed ณ สิ้นปี 2566 ดูได้จากเจ้าหน้าที่ Fed โดยส่วนใหญ่คาดว่าจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจาก 5 – 5.25% เป็น 5.50 – 5.75% แต่มีบางส่วนคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะพุ่งสูงกว่านั้นถึง 6%
ที่น่าสนใจคือแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2567 ที่คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 1% มาอยู่ที่ระดับ 4.6% ควบคู่กับอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้กลับมาเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง
นักวิเคราะห์หลายสำนักออกมาพูดว่า Fed อาจพิจารณาหยุดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ได้ แต่คงต้องรอผลสรุปว่าสุดท้ายว่า Fed จะเอายังไงต่อไป แต่สำหรับความน่าจะเป็นตอนนี้ถูกเทไปที่ Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% อีกประมาณสองครั้งในเดือนถัดไป
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับแรงหนุนจากหุ้นเทคโนโลยี และท่าทีของ Fed ต่อการขึ้นดอกเบี้ย Microsoft ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 5% ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมกับบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเช่นกัน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังบวกต่อเนื่อง การปรับขึ้นของหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่จะทำให้ Fed พิจารณาการปรับขึ้นดอกเบี้ยว่าจะไปในทิศทางไหน และอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงทำให้หลายบริษัทในสหรัฐฯ ได้พักหายใจจากอัตราดอกเบี้ยอย่างถ้วนหน้า
เทคโนโลยีสหรัฐฯ ยังคงเป็นอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโต เป็นผู้นำของโลกและไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนานวัตกรรมใหม่ออกมาเปลี่ยนโลกอยู่เสมอ การลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสหรัฐฯ แม้ Fed ยังไม่ได้ปรับลดดอกเบี้ยก็ยังมีแนวโน้มจะเติบโตได้
เรื่องเด่นประเด็นฮิตของชาว Jitta Wealth Official
😍 อยากเปิดพอร์ต Jitta Ranking ตอนนี้ แผนไหนดี
🥳 ฉลองสมาชิก 20,000 คน ชิงรางวัลต่อเนื่อง 20 วัน
💸 เทียบชัด บทเรียน DCA ที่อยากเล่าให้ฟัง
(ตอบคำถามให้ครบ 3 ข้อ เพื่อเข้าร่วมกลุ่มนะ 🤗)
ตลาดหุ้นเวียดนามมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ดัชนี VNI หลักอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบแปดเดือน ต้องขอบคุณกลยุทธ์ของรัฐบาลในการผ่อนปรนนโยบายการเงินและกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนต่างๆ ในตลาดหุ้นได้รับผลกำไรเพิ่มเติม
รัฐบาลเวียดนามกระตุ้นเศรษฐกิจ ออกนโยบายลดอัตราการรีไฟแนนซ์จาก 5.5% เป็น 5% นอกจากนี้ยังได้ให้สัญญาว่าจะกดดันผู้ให้กู้ ให้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง ซึ่งนโยบายนี้ต้องพิจารณามาตรการเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนธุรกิจในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัว
การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง และสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นในตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งเป็นสัญญาณดี ส่งผลให้ตลาดหุ้นเวียดนามกลับมาเติบโตอีกครั้งอย่างมีประสิทธิภาพ
ตลาดหุ้นเวียดนามตอนนี้เริ่มกลับมาสู่แนวโน้มการเติบโตที่ดีอีกครั้ง หากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเวียดนามใช้ได้จริงในระยะยาว จะทำให้นักลงทุนทั้งในและต่างชาติมีความเชื่อมั่นและกลับมาลงทุนหุ้นเวียดนามต่ออย่างแน่นอน
บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด จะปรับปรุงระบบซื้อขายหลักทรัพย์ ETF ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในช่วง 26 มิถุนายน – 3 กรกฎาคม 2566 เพื่อประโยชน์แก้ผู้ลงทุน โดยจะกระทบกับผู้ลงทุนนโยบาย Global ETF และ Thematic ทั้ง DIY และ Optimize เท่านั้น
จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ลดลง ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลาง (MLF) แก่สถาบันการเงินบางแห่ง 0.10% จาก 2.75% สู่ระดับ 2.65% หลังการลดอัตราดอกเบี้ย MLF ครั้งสุดท้ายในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
ซึ่งอัตราดอกเบี้ย MLF ถือเป็นช่องทางที่จะทำให้ธนาคารกลางจีนมีความสามารถในการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบธนาคารและส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยอื่นๆ บางประเภท
ก่อนหน้านี้ ยังประกาศลดอัตราดอกเบี้ย Reverse Repurchase Rate ระยะ 7 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้น ลงจาก 2.0% สู่ระดับ 1.9% พร้อมอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบมากถึง 2,000 ล้านหยวน
การปรับลดอัตราดอกเบี้ย ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าภาครัฐจีนตระหนักและให้ความสำคัญต่อการพยุงและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศหลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ Covid-19
ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาวะเศรษฐกิจจีนส่งผลต่อเศรษฐกิจหลายๆ ประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับประเทศที่ค้าขายกับจีนโดยตรง คงต้องรอดูกันต่อไปว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนี้จะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมของจีนอย่างไรในอนาคต
ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังคงดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเป็นพิเศษ ยืนยันที่จะรักษามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป โดยให้ความสำคัญกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เปราะบาง แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้ก็ตาม
ในขณะที่ BOJ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงในปีนี้ แต่หากมุมมองเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญก็พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนนโยบาย
จากมติคงอัตราดอกเบี้ย ทำให้เงินเยนอ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 15 ปีเมื่อเทียบกับเงินยูโร คาดว่าจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนของ BOJ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อรักษาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปีไว้ที่ประมาณ 0%
นโยบายเศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังคงชวนให้ติดตามอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นนโยบายที่ยังผ่อนคลาย หรือเงินเยนที่อ่อนค่าลง เหมาะที่จะวิเคราะห์และมองหาโอกาสลงทุนอย่างรอบคอบ
เศรษฐกิจเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับหลายๆ เรื่อง
การปรับ ‘ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ’ ก็เป็นอีกเรื่องที่ถูกเอามาเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ
แล้วการขึ้นค่าแรงส่งผลต่อเศรษฐกิจและการลงทุนจริงหรือไม่ ไปหาคำตอบกัน
สัญญาณตลาดหุ้นในรอบสัปดาห์นี้ถือว่าเป็นที่น่าพอใจสำหรับนักลงทุนหลายๆ คนเลยทีเดียว
ดูเหมือนว่ารัฐบาลและธนาคารกลางของแต่ละประเทศต่างหันมาปรับเปลี่ยนนโยบายทางการเงินเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจกันถ้วนหน้า ถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ดี และหวังว่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ในทุกๆ ตลาด
นโยบายทางการเงินที่เหมาะสม ถูกที่ ถูกเวลา ย่อมสร้างผลดีกับธุรกิจอย่างมหาศาล ซึ่งจะช่วยกระตุ้นตลาดหุ้นและการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับการลงทุนระยะยาวสิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุดคือ คุณภาพของธุรกิจ และ ราคาที่เหมาะสม หรือจำง่ายๆ ว่า ‘หุ้นคุณภาพดี ในราคาที่เหมาะสม’ แล้วปล่อยให้เติบโตในระยะยาว เป็นหนทางการลงทุนที่ดีต่อใจ หากคุณมีความเข้าใจและอดทนรอได้ในเป้าหมายที่คุณตั้งเอาไว้
แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า