Jitta Wealth Journal ปีที่ 2 ฉบับที่ 74 ประจำวันที่ 26 เมษายน 2565 มีประเด็นข่าวสารและสถานการณ์การเงินการลงทุนที่น่าสนใจจากทั่วโลก ดังนี้
ไปติดตามกันได้เลย
ความร่วมมือของ Jitta x Artstory จะมาบอกเล่าเรื่องราวทศวรรษแรกของสตาร์ตอัป WealthTech ผ่านลายเส้นจากน้องออกัส มูลนิธิออทิสติกไทย พร้อมเข้าสู่ทศวรรษที่ 2 ตอกย้ำปณิธาน ส่งเสริมเยาวชนไทย เริ่มต้นลงทุนระยะยาวด้วยวิธีการที่เรียบง่าย
ปริมาณการขอสินเชื่อบ้านมีแนวโน้มลดลงในอนาคต เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านพุ่งสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2553 โดยมีผู้ขอสินเชื่อบ้านลดลง -5% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า และลดลงกว่าครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับปี 2564
อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน 30 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 5.20% ซึ่งเพิ่มจากปี 2564 ที่ 3.20% อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะช่วยชะลอเงินเฟ้อสหรัฐฯ ให้ลดลง ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) กำลังให้ความสำคัญในตอนนี้
Joe Kan รองประธานสมาคมสินเชื่อบ้านสหรัฐฯ บอกว่า ความกังวลจากอัตราเงินเฟ้อและการเร่งใช้นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ทำให้ดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในรอบทศวรรษ
เมื่อดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้น จะทำให้ความต้องการของผู้บริโภคลดลง ผู้ประกอบอสังหาริมทรัพย์จึงต้องชะลอการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ลดความร้อนแรงลง
ราคาที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ปี 2564 ราคาบ้านและราคาค่าเช่าบ้านพุ่งสูงขึ้น +18.8% และ +17.6% ตามลำดับ
ดูเหมือนว่า ภายในปี 2565 นโยบายทางการเงินของ Fed ส่งผลให้อุปสงค์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ลดลง ซึ่งอาจจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อลดลงด้วย ตอนนี้ Jerome Powell ประธาน Fed เตรียมปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.50% ในการประชุมเดือนพฤษภาคมนี้
Powell ย้ำว่า การควบคุมเงินเฟ้อเป็นเรื่องสำคัญ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.50% ซึ่งเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงกว่าครั้งก่อน โดย FedWatch Tool ระบุว่า มีโอกาสสูงถึง 97.5% ที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.50% ในเดือนพฤษภาคม
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ตอบรับกระแสข่าวนี้ ปรับตัวลดลงในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา นำโดยดัชนี NASDAQ ดัชนี S&P500 และดัชนี DJIA Jitta Wealth มองว่า ทิศทางดอกเบี้ยปี 2565 จะเป็นขาขึ้นอย่างแน่นอน ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงที่เหลือของปี จะยังมีความผันผวนอยู่มากไปตามนโยบายการเงินของ Fed นี่คือ ความเสี่ยงที่คุณอาจจะต้องเผชิญ
หากเป็นการลงทุนระยะยาว ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญอยู่จะจบลงได้อย่างแน่นอน และทุกอย่างจะกลับสู่ภาวะปกติ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็เช่นเดียวกัน คุณอาจจะมองว่า ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสที่จะเพิ่มทุน เพื่อซื้อหุ้นและ ETF ในราคาที่ถูกกว่าเดิม ย่อมทำได้
ผลตอบแทนจะพุ่งกระฉูดแค่ไหน ถ้าเอาเงินปันผลไปลงทุนต่อ Jitta Wealth วิเคราะห์ข้อมูลมาให้ อยู่ที่ตัวคุณด้วยว่าต้องการเพิ่มมูลค่าพอร์ตด้วยเงินปันผล หรือต้องการนำกระแสเงินสดจากการลงทุนมาใช้จ่าย
US Digital Health Market คาดการณ์ว่า ตลาดดิจิทัลเฮลท์แคร์ของสหรัฐฯ จะโตกว่า 240,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใน 2569 โดยมีอัตราการเติบโตสูงถึง +28.40% ในช่วงเวลา 4 ปี
โดยจะเติบโตจากปัจจัยต่างๆ เช่น จำนวนประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น การใช้อุปกรณ์พกพาที่สูงขึ้น โรคต่างๆ ที่รุนแรงมากขึ้น รวมไปถึงค่าใช้จ่ายพยาบาลที่สูงขึ้น จะช่วยผลักดันธุรกิจดิจิทัลเฮลท์แคร์ให้เติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคต
อย่างไรก็ตามการเติบโตของธุรกิจดิจิทัลเฮลท์แคร์ จะเผชิญความท้าทายโดยต้นทุนและเงินลงทุนที่สูง รวมไปถึงความกังวลด้านความปลอดภัยของข้อมูลผู้ป่วยที่อาจหลุดออกไป เนื่องจากต้องทำงานผ่านระบบดิจิทัลนั่นเอง
แนวโน้มการเติบโตในธุรกิจดิจิทัลเฮลท์แคร์ สังเกตได้จากจำนวนแอปพลิเคชันด้านการดูแลสุขภาพที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นรายได้หลักในธุรกิจนี้ ธุรกิจดิจิทัลเฮลท์แคร์ที่เติบโตจะส่งผลดีต่อธีมเฮลท์แคร์อย่างมีนัยสำคัญ และมีแนวโน้มไปได้ไกลในระยะยาวด้วย
ผู้คนทั่วโลกหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ผลักดันให้หุ้นเฮลท์แคร์ยังคงเป็นหุ้นที่แข็งแกร่งได้ทุกภาวะเศรษฐกิจ เรียกกันว่า หุ้น Defensive เติบโตได้ทุกสภาวะ ไม่ว่าจะเกิดโรคระบาดใหญ่ๆ หรือช่วงเศรษฐกิจขาลง
หากคุณสนใจลงทุนในหุ้นสุขภาพทั่วโลก Jitta Wealth จะมาอัปเดตภาพรวมแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจเฮลท์แคร์ รวมไปถึงผลกระทบของโรคระบาดและเงินเฟ้อ พร้อมทั้งเปิดกองทุนส่วนบุคคลจาก Jitta Wealth ด้วย
วันพุธที่ 27 เมษายนนี้
เวลา 19.00 น.
กด ‘Going’ เพื่อรับการแจ้งเตือน
หุ้นจีนส่อถูกถอดออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยสะท้อนจากพฤติกรรมนักลงทุนจากปริมาณการซื้อขายหุ้น JD.com และ Alibaba ที่อยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกเปลี่ยนมาลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงเพิ่มขึ้น
เป็นสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นในเดือนเมษายน โดย 77% ของหุ้น JD.com กำลังหมุนเวียนและซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ซึ่งสูงกว่าต้นปี 2565 ที่ 44% เป็นอย่างมาก ในขณะที่ปริมาณการซื้อขายหุ้น Alibaba ในตลาดหุ้นฮ่องกงเพิ่มขึ้นเป็น 56% จาก 53% ในช่วงเวลาเดียวกัน
แม้ว่าจะยังไม่เห็นแนวโน้มจากบริษัทจีนอื่นๆ ที่อยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่ความเคลื่อนไหวของหุ้น JD.com และ Alibaba ที่เป็นหุ้นบิ๊กแคปมูลค่าสูงที่สุด ยังมีความเสี่ยงที่อาจจะถูกถอดออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ ดังนั้นหุ้นอื่นๆ อาจจะมีชะตากรรมแบบเดียวกัน
ทั้งๆ ที่ทางการจีนจะออกมาแก้ไขกฎเกณฑ์ที่ใช้มานาน เพื่ออนุญาตให้หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ สามารถเข้าถึงการตรวจสอบข้อมูลได้ง่ายขึ้นแล้ว เพื่อปกป้องการทำธุรกิจของบริษัทที่ไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นต่างประเทศ
Louis Lau ผู้จัดการกองทุนจาก Brandes Investment Partners กล่าวว่า บริษัทได้เลือกที่จะซื้อหุ้นจีนในตลาดหุ้นฮ่องกงแทนตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากมองว่ามีโอกาสมากกว่า 50% ที่หุ้นจีนอาจจะถูกถอดออก
โดยมีมุมมองว่า สิทธิ์ในการตรวจสอบข้อมูลบริษัทจีน ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่า ทางการจีนจะให้สิทธิ์ในการตรวจสอบแก่หน่วยงานกำกับดูแลจากสหรัฐฯ มากแค่ไหน และมีบริษัทใดบ้างที่ทางการจีนยอมให้ทำแบบนั้น
ขณะนี้มีบริษัทจีนจดทะเบียนมากกว่า 200 รายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และมี 20 รายที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงควบคู่ไปด้วย ซึ่งคาดการณ์ว่าตัวเลขนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เพราะผู้ถือหุ้นจีนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถแปลงเป็นหุ้นเดียวกันในตลาดหุ้นฮ่องกงได้ตามสัดส่วนที่กำหนด
การหลีกหนีของนักลงทุนหุ้นจีนจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาตลาดหุ้นฮ่องกงอาจจะพบเจอกับความเสี่ยงเพิ่มเติมคือ ความเสี่ยงด้านโครงสร้างตลาดหุ้น เนื่องจากตลาดหุ้นฮ่องกงมีสภาพคล่องน้อยกว่า และจะส่งผลให้หุ้นมีมูลค่าต่ำกว่าเมื่อย้ายตลาดหุ้นไป
แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่า หุ้นจีนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะถูกถอดออกตามการคาดการณ์นี้หรือไม่ แต่ Jitta Wealth จะคอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่ออัปเดตให้คุณทราบอย่างแน่นอน หากมีอะไรเปลี่ยนแปลงที่กระทบกับการลงทุนใน Jitta Ranking และ Thematic
กระทรวงพาณิชย์จีน รายงานว่า มูลค่าตลาดค้าปลีกจีน ไตรมาสที่ 1 ปี 2565 อยู่ที่ 10.8 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น +3.3% จากภาคการบริโภคในประเทศเติบโต อย่างไรก็ตามตัวเลขค้าปลีกเดือนมีนาคมลดลง -3.5% เนื่องจากมาตรการล็อคดาวน์ของรัฐบาลจีน
ในขณะที่ตัวเลขค้าปลีกผ่านอีคอมเมิร์ซ ไตรมาสที่ 1 อยู่ที่ 3.01 ล้านล้านหยวน เติบโต +6.6% และคิดเป็นสัดส่วน 23.2% ของมูลค่าค้าปลีกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 21.9%
สัดส่วนค้าปลีกบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่สูงขึ้น ทำให้เห็นถึงการพัฒนาและอัตราการเข้าถึง (Penetration Rate) ที่พุ่งสูงมากในจีน เมื่อเทียบกับสหรัฐฯ ที่มีสัดส่วนประมาณ 13-14% ของมูลค่าค้าปลีกทั้งหมด
ด้วย Penetration Rate ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นโอกาสที่ดีของบริษัทอีคอมเมิร์ซในจีนในการขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มรายได้และมีศักยภาพเติบโตที่สูงขึ้นกว่าเดิม
นอกจากนี้เทคโนโลยีอื่นๆ ที่น่าจับตามองของจีน คือ Cloud Computing ซึ่ง Canalys บริษัทวิจัย รายงานตัวเลขมูลค่าอุตสาหกรรมคลาวด์ในจีนปี 2564 เติบโต +45% อยู่ที่ 27,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปัจจัยที่ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีคลาวด์ คือ การแพร่ระบาด Covid-19 ที่ทำให้ผู้คนต้องทำงานหรือเรียนจากที่บ้าน รวมไปถึงตลาดอีคอมเมิร์ซของจีนที่เติบโต และการเปลี่ยนแปลงขององค์กรที่หันมาใช้ระบบคลาวด์กันมากขึ้น
Canalys คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมคลาวด์ในจีนจะเติบโตเฉลี่ย +25% ต่อปี จนถึงปี 2569 มีมูลค่าสูงถึง 85,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ Jitta Wealth หวังว่า การประเมินของ Canalys จะแม่นยำจริงๆ เพราะสะท้อนภาพขาขึ้นของธุรกิจคลาวด์ทั่วโลก
สำหรับส่วนแบ่งตลาดคลาวด์ในจีนตอนนี้ยังคงเป็น Alibaba Cloud ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงที่สุดถึง 37% ตามมาด้วย Huawei Tencent และ Baidu ซึ่งทั้ง 4 บริษัทนี้มีส่วนแบ่งในตลาดคลาวด์รวมกันมากกว่า 80% ของทั้งหมด
องค์กรทั่วโลกไม่มีทางหลีกหนีเทคโนโลยีคลาวด์ได้ อาจจะนำมาใช้งานในแง่ใดแง่หนึ่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้องค์กร ดังนั้นธุรกิจคลาวด์จะยังคงเป็นเมกะเทรนด์ที่เติบโตเร็วที่สุด ซึ่งส่งผลดีต่อการลงทุนในธีมเทคโนโลยีจีนและคลาวด์อย่างชัดเจน
ไตรมาสแรกของปี 2565 ตลาดหุ้นผันผวนขึ้นๆ ลงๆ สงครามก็เข้ามาสร้างแรงกดดันมากขึ้นไปอีก แต่วิกฤตเกิดขึ้นได้เสมอ Warren Buffett แนะนำว่า นี่คือโอกาสที่ดี จงอย่าถือเงินสดในช่วงสงคราม คุณล่ะ…อยากปรับพอร์ตอย่างไร
สิ้นเดือนมีนาคม Global X Internet of Things ETF (SNSR) ได้รับความสนใจจากบริษัทจัดการลงทุนของสหรัฐฯ เข้าเพิ่มเงินลงทุนสูงถึง +125.9% เมื่อเทียบกับช่วงกลางเดือนมีนาคม ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 84,000 หุ้น
หากคุณได้ดูราคาย้อนหลังของ SNSR ETF จาก Investing.com จะเห็นว่า ราคาของ SNSR เดือนมีนาคม สูงสุดอยู่ที่ 34.29 ดอลลาร์สหรัฐ ต่ำสุดอยู่ที่ 30.57 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดเดือนด้วยราคา 32.84 ดอลลาร์สหรัฐ
แต่ในเดือนเมษายน ราคาล่าสุดวันที่ 22 เมษายน อยู่ที่ 29.61 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับราคาเมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ 33.17 ดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าราคาลดลงไปแล้ว -10.73%
SNSR เป็น Passive ETF ที่ลงทุนในธุรกิจ Internet of Things ตามดัชนี Indxx Global Internet of Things Thematic Index รวบรวมประมาณ 50 บริษัทที่พร้อมเป็นกำลังเสริมให้หุ้นเทคโนโลยีอื่นๆ เรียกได้ว่า เป็นธีมธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง เพราะ ‘อินเทอร์เน็ตของทุกสิ่ง’ กำลังแทรกซึมในทุกจังหวะชีวิตของคุณ
ราคาของ SNSR ETF ลดลงมาช่วงนี้ คุณสามารถคว้าโอกาส จัดพอร์ตลงทุนผ่านกองทุนส่วนบุคคล Thematic ได้
Internet of Things (IoT) คืออะไร แล้วทำไม SNSR ถึงน่าลงทุน มาทำความรู้จัก Thematic ETF ธีมเมกะเทรนด์ ‘หุ้น Internet of Things’ กับ SNSR พร้อมส่อง 5 บริษัทไส้ใน งบเงินการย้อนหลังเติบโตดี พร้อมเสริมทัพหุ้นเทคทั่วโลก
Netflix บริษัทวิดีโอสตรีมมิงรายใหญ่ ประกาศว่า จำนวนผู้ใช้งานลดลงเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงลง -35% ในวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา ทำมาร์เก็ตแคปหายไปกว่า 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ราคาหุ้น Netflix ลดลงไปแล้ว -62% ในปี 2565 และยังเป็นหุ้นที่มีผลการดำเนินงานแย่ที่สุดในดัชนี S&P500 และ NASDAQ100 ถือเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557 สร้างความตกใจให้นักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
บริษัทสูญเสียลูกค้ากว่า 200,000 รายในไตรมาสแรก และคาดว่า ลูกค้าอาจจะหายไปอีกกว่า 2 ล้านรายในไตรมาสที่ 2 ผลพวงมาจากสงครามยูเครนและรัสเซีย การแบ่งปันบัญชีผู้ใช้งาน และคู่แข่งวิดีโอสตรีมมิงใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด
ซัปพลายเออร์รายใหญ่ 3 บริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนให้กับ iPhone ประกาศระงับสายพานการผลิตในเซี่ยงไฮ้ โดย 1 ใน 3 ของบริษัท คือ Pegatron ซึ่งมีรายได้จากชิ้นส่วนประกอบ iPhone คิดเป็นสัดส่วนถึง 20-30% ของรายได้บริษัท
สัปดาห์นี้ Foxconn ซัปพลายเออร์อีกราย ต้องสั่งระงับการผลิตในโรงงาน 2 แห่ง หลังตรวจคนงานติดเชื้อ Covid-19 ทั้งนี้ Apple และ Foxconn ปฎิเสธที่จะให้รายละเอียดและอัปเดตสถานการณ์
ถือว่าวิกฤตล็อกดาวน์ในจีน เป็นอีกอุปสรรคใหญ่ที่สะเทือนบริษัทเทคโนโลยีหลายๆ ราย เนื่องจากไม่สามารถผลิตสินค้าได้ ทำให้การส่งสินค้าล่าช้าไป ต้องมาติดตามกันว่า บริษัทต่างๆ จะรับมืออย่างไร และจะส่งมอบสินค้าให้ได้เมื่อไร
นี่คือ 7 ข่าวที่น่าสนใจในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา จาก Jitta Wealth Journal ที่คุณสามารถอัปเดตและติดตามได้
Jitta Wealth ยอมรับว่า จะจบเดือนเมษายนแล้ว กับภาวะตลาดหุ้นผันผวน ไม่ดีต่อใจเอาเสียเลย พอมาเจอภาวะสงครามที่ยืดเยื้อมานานกว่า 2 เดือน เร่งให้เงินเฟ้อพุ่งมากกว่าเดิม Fed และธนาคารกลางทั่วโลกจำเป็นต้องใช้ยาแรง ขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูง
และแน่นอนว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกอาจจะสะเทือน ตอบรับกับปัจจัยลบ และต้นทุนการเงินที่พุ่งสูงขึ้น
แม้ว่า ราคาหุ้นและ ETF ที่ Jitta Wealth ให้บริการอยู่ ยังเป็นขาลงตามสถานการณ์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หากพิจารณาเฉพาะปัจจัยด้านเงินเฟ้อ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือ ETF เมื่อกิจการยังมีอำนาจต่อรองในตลาดสูง สามารถขึ้นราคาสินค้าและบริการได้ หรือผู้บริโภคยังมีความต้องการสินค้าและบริการนั้นอยู่ ประเด็นเงินเฟ้อ…แทบไม่สะเทือนเลย
แล้วพบกันสัปดาห์หน้า
Jitta Wealth Journal – Jitta Ranking พร้อมหรือยัง ภาษีขายหุ้น 0.1%
Jitta Wealth Journal – หุ้นจีนซึม…แล้วไง นักลงทุนเฮโลเกือบ 200 ล้านคน