การซื้อหุ้นและถือไปยาวๆ เป็นเพียงกลยุทธ์นึงของการลงทุนระยะยาวเท่านั้น ในบางครั้งโอกาสลงทุนที่ดีมักปรากฎอยู่ตรงหน้าคุณเสมอ ในช่วงนั้นคุณต้องตัดสินใจว่าควร ‘ปรับพอร์ต’ หรือไม่
การปรับพอร์ตลงทุนระยะยาวอาจขัดความรู้สึกของคุณบ้าง แต่ทีมงานอยากให้คุณนึกถึงการวิ่งเทรลระยะยาวที่บางครั้งการหยุดพักอาจช่วยให้คุณไปถึงเส้นชัยได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นเหมือนการปรับพอร์ตเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตยิ่งขึ้น
ในโลกการลงทุน เซียนหุ้นทั่วโลกมักให้แนวคิดเกี่ยวกับการลงทุนที่ดี และอาจให้ความรู้ถึงการเลือกซื้อหุ้น แต่น้อยคนนักที่จะสอนเรื่องการ ‘ปรับพอร์ต’ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่สำคัญมากเช่นเดียวกัน
หากคุณเป็นนักลงทุนที่มีพอร์ต Thematic Optimize ย่อมรู้ดีว่าระบบ AI จะปรับพอร์ตอัตโนมัติทุก 3 เดือน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ทีมงาน Jitta Wealth พิสูจน์แล้วว่าจะช่วยให้คุณได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงจากการลงทุนมากที่สุดในระยะยาว
ด้วยระยะเวลาปรับพอร์ต 3 เดือน นักลงทุนบางคนมองว่าเร็วเกินไป และเกิดคำถามขึ้นมาว่า การปรับพอร์ตทุก 3 เดือนนับว่าเป็นการลงทุนระยะยาวไหม และทำผลตอบแทนได้จริงหรือไม่
ในวันนี้ทีมงานจะไขข้อสงสัยเกี่ยวกับการปรับพอร์ต 3 เดือนให้คุณทั้งหมด เริ่มจากสิ่งพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนระยะยาวเพื่อให้คุณเข้าใจก่อนว่าการปรับพอร์ตทุก 3 เดือนก็เป็นการลงทุนระยะยาวเช่นเดียวกัน
นิยามการลงทุนระยะยาวคือ การลงทุนที่ราคาสินทรัพย์สามารถเติบโตไปเรื่อยๆ ได้ โดยไม่จับจังหวะหรือเก็งกำไรระยะสั้น นักลงทุนหลายคนเข้าใจผิดว่าการลงทุนระยะยาวมีแค่วิธีเดียว นั่นคือการใช้กลยุทธ์ ‘ซื้อแล้วถือ’ หรือ Buy and Hold
สำหรับแผน Thematic Optimize จะมีการรีวิวพอร์ตทุก 3 เดือน ทำให้เมื่อ AI พบว่ามีธีมเมกะเทรนด์บางธีมที่หลุดอันดับออกไปก็จะขายออก แล้วไปลงทุนในธีมเมกะเทรนด์ใหม่ที่ถูกวิเคราะห์มาแล้วว่ามีโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีที่สุดแทน
กระบวนการทำซ้ำทุก 3 เดือนทำให้ดูเหมือนว่า Jitta Wealth พยายามจับจังหวะ จึงไม่ใช่การลงทุนระยะยาวอย่างแท้จริง
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ กระบวนการรีวิวพอร์ตทุก 3 เดือนของ Thematic Optimize อ้างอิงจากปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental) ของบริษัทหรือธีมเมกะเทรนด์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าส่งผลดีต่อการลงทุนในระยะยาว เช่น ผลประกอบการ อัตราการเติบโตของบริษัท รวมถึงอัตราส่วนทางการเงินหลายอัตราส่วน
ดังนั้น การปรับพอร์ตทุก 3 เดือนจึงไม่ใช่การจับจังหวะตลาดสั้นๆ เพราะ AI จะวิเคราะห์พื้นฐานของธีมเมกะเทรนด์จากปัจจัยพื้นฐานย้อนหลังหลายปี เพื่อเฟ้นหาธีมที่มีโอกาสทำผลตอบแทนได้คุ้มค่ากับความเสี่ยงมากที่สุดในช่วงเวลานั้นมาจัดพอร์ต และเป็นกลยุทธ์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
แต่แน่นอนว่า…หากทีมงานต้องการพิสูจน์ให้ชัดเจนว่า ระยะเวลา 3 เดือน คือ ระยะเวลาปรับพอร์ตที่ดีที่สุด ต้องแสดงให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น และผลลัพธ์ Back Test จะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้คุณเข้าใจ ไปดูผลการเปรียบเทียบแบบชัดๆ กันได้เลย
แผน Thematic Optimize จะปรับพอร์ตทุกๆ 3 เดือน โดย AI จะคัดเลือก 4 ธีมลงทุนที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้นมาจัดพอร์ตให้กับคุณเสมอ
แต่เนื่องจากปี 2565 ที่ผ่านมา ธีมเมกะเทรนด์ทั่วโลกปรับตัวลงหนักจากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น สร้างความไม่สบายใจให้กับนักลงทุน Thematic Optimize หลายคนเมื่อถึงรอบปรับพอร์ต จนเกิดคำถามว่าถ้าปรับพอร์ตแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะยิ่งทำให้มูลค่าเงินลงทุนหายไปเรื่อยๆ นักลงทุนหลายคนเข้าใจว่าเมื่อขายธีมในพอร์ตออกไปจะทำให้เกิดการขาดทุนจริง (Realized Loss)
แต่หากคุณสังเกตดีๆ จะพบว่า ธีมเมกะเทรนด์ทั่วโลกต่างก็ปรับตัวลงหนัก ไม่ใช่เพียงแค่ธีมที่ถูกปรับพอร์ตของ Thematic Optimize เท่านั้น การถือธีมเดิมโดยไม่ปรับพอร์ตไม่ได้เป็นการการันตีว่าคุณจะไม่ขาดทุนเช่นกัน หากคุณปรับมุมมองจะพบว่าการปรับพอร์ตทุก 3 เดือนจะช่วยให้คุณได้ลงทุนในธีมที่ดีที่สุดอยู่เสมอ โดยที่คุณไม่ต้องเสียเวลาติดตามข่าวสารและปรับพอร์ตด้วยตัวเอง
และที่สำคัญคือ ทีมงานต้องการหาระยะเวลาปรับพอร์ตที่สามารถทำผลตอบแทนได้คุ้มค่ากับความเสี่ยงในการลงทุนมากที่สุดสำหรับแผน Thematic Optimize เพราะฉะนั้น ทีมงานจึงต้องค้นคว้าและทดสอบอย่างละเอียด โดยผล Back Test ของแผน Thematic Optimize จากระยะเวลาการปรับพอร์ตเป็นดังนี้
สำหรับระยะเวลา Back Test ที่แตกต่างจาก Jitta Ranking เป็นเพราะว่า ETF ธีมเมกะเทรนด์ส่วนใหญ่ที่ Jitta Wealth เลือกสรรมาให้คุณลงทุนยังเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน จึงทำให้ช่วงเวลา 5 ปีเป็นระยะเวลาที่ทีมงานสามารถนำ ETF ธีมเมกะเทรนด์ทุกธีมมาทดสอบได้อย่างสมบูรณ์
หากเจาะลึกไปที่ผลลัพธ์ของระยะเวลาปรับพอร์ต 3 เดือน แม้ว่าจะมีความผันผวนของราคาที่ใกล้เคียงกับระยะเวลา 6 เดือนและ 1 ปี แต่กลับทำผลตอบแทนได้สูงกว่าในระยะยาว
ซึ่งถือเป็นอีกสิ่งสำคัญที่ทีมงานให้ความสำคัญ นั่นก็คือความสมดุลระหว่างความผันผวนของราคา กับผลตอบแทนที่แผน Thematic Optimize มีโอกาสทำได้ในระยะยาว ซึ่งจะช่วยทำผลตอบแทนให้คุณได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
จากการทดสอบ ทีมงานจึงได้คำตอบว่า ระยะเวลา 3 เดือนคือระยะเวลาปรับพอร์ตที่เหมาะสมที่สุด สำหรับแผน Thematic Optimize
เพื่อให้คุณเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ทีมงานได้จำลองการเติบโตของเงิน 50,000 บาทที่ถูกนำไปลงทุนในแผน Thematic Optimize เป็นเวลา 5 ปีมาให้คุณได้ดูกันว่า หากเงินจำนวนนี้อยู่ในระยะเวลาปรับพอร์ตที่แตกต่างกัน จะทำให้เงินเติบโตแตกต่างกันมากขึ้นแค่ไหน
ทีมงานหวังว่าบทความนี้จะช่วยคลายข้อสงสัยเกี่ยวกับระยะเวลาปรับพอร์ตทุก 3 เดือน และช่วยให้คุณลงทุนแผน Thematic Optimize ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
หากคุณสนใจจะลงทุนใน Thematic Optimize สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนลงทุนที่คุณต้องการได้ และหากคุณต้องการที่จะเริ่มต้นลงทุน ในวันนี้ก็สามารถเข้าไปเปิดพอร์ตลงทุนได้เช่นเดียวกัน
การปรับพอร์ตเป็นอีกเรื่องสำคัญสำหรับการลงทุนระยะยาว ทีมงานอยากคุณเชื่อมั่นว่า Jitta Wealth จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดมาให้คุณอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการปรับพอร์ตหรือแผนลงทุนต่างๆ ตามเป้าหมายของ Jitta Wealth นั่นคือ เพื่อมอบการลงทุนที่ดีที่สุดให้กับคุณ
กองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth บริหารจัดการโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด ผู้บุกเบิกสตาร์ตอัป WealthTech สัญชาติไทยรายแรก ที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง กำกับโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ใบอนุญาตเลขที่ ลค-0105-01
ผลตอบแทน การเปรียบเทียบหรือการจัดอันดับการดำเนินงานในอดีตที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ไม่การันตีผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจนโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน และความเสี่ยงอื่นๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน
CEO Jitta Wealth ตอบคำถามคาใจ Thematic Optimize
อัปเดตการลงทุนนโยบาย Thematic Optimize และ Jitta Ranking ปี 2566