Exclusive Q&A with CEO เป็น Webinar ที่ทีมงาน Jitta Wealth จัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับบริการกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth และตอบข้อสงสัยของนักลงทุนที่สนใจ
คุณสามารถรับชม Webinar ย้อนหลังได้ทาง Facebook หรือ Youtube หรืออ่านสรุปคำถาม-ตอบ จากนักลงทุนทางบ้านได้ในบทความนี้
ช่วงถาม-ตอบ นาทีที่ 1:25:12
คุณตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO ของ Jitta Wealth ได้อัปเดตผลตอบแทนปี 2564 ล่าสุดของทั้ง 16 ธีมในกองทุนส่วนบุคคล Thematic
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาคือ ธีมเทคโนโลยีและเมกะเทรนด์ที่เกี่ยวข้อง ราคาตกลงมา 20-30% ตั้งแต่ต้นปี 2564 ราคามีการปรับฐานไปแล้ว จากการที่นักลงทุนขายทำกำไร ขณะที่งบไตรมาสแรกยังเติบโตได้ดี คาดว่า ราคาหุ้นเหล่านี้กลับขึ้นมา และงบการเงินไตรมาสที่ 2 คาดว่าจะดีต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า
ส่วนธีมกัญชายังได้ปัจจัยบวกจากการปลดล็อกกฎหมายในสหรัฐฯ หลายบริษัทเข้ามาผลิตเครื่องดื่มหรือขนมขบเคี้ยวที่มีส่วนผสมของกัญชามากขึ้น
ธีมน่าสนใจ คือ เทคโนโลยีท่องเที่ยว ที่กำลังได้ประโยชน์จากการฉีดวัคซีนป้องกัน Covid-19 การท่องเที่ยวในประเทศในสหรัฐฯ ก็ฟื้นตัวได้เท่ากับก่อนช่วงโรคระบาดแล้ว ดังนั้นธุรกิจที่ให้บริการจองตั๋วเดินทางและโรงแรมผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ประโยชน์ เชื่อว่า งบไตรมาสที่ 2 จะดีขึ้นมาก เพราะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า
นอกจากนี้อัปเดตผลตอบแทนของ Global ETF ล่าสุด พบว่า แผนเติบโตและสมดุลยังทำผลตอบแทนได้สูงกว่าที่คาดหวังไว้ 8% และ 6% ต่อปีตามลำดับ ส่วนแผนพอเพียงยังไม่ถึงผลตอบแทนคาดหวัง 4% เนื่องจากช่วงต้นปีที่ผ่าน เจอผลกระทบผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาพันธบัตรในตลาดลดลง
รายได้เฉลี่ย 3 ปีล่าสุดในธีมต่างๆ แบบทบต้นจะเห็นว่า มีการเติบโตสูงใน 15 ธีม นำโดย ธีมตลาดหุ้นจีนและกัญชา
ที่น่าสนใจคือ ธีมฟินเทคที่มีรายได้เฉลี่ย 35.97% ขณะที่ผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วงเวลาเดียวกันก็เติบโต 22.86% (ข้อมูล ณ 28 พฤษภาคม 2564) สะท้อนว่า การเติบโตทั้งรายได้และราคา ETF ของธีมฟินเทคมีทิศทางเดียวกัน
Jitta Wealth ได้เพิ่ม 2 ธีมการลงทุนที่น่าสนใจ คือ ธีมพลังงานสะอาดจีน (China Clean Energy) กับธีมจีโนมิกส์ (Genomics)
คุณตราวุทธิ์ บอกว่า ธีมพลังงานสะอาดจีนมีความน่าสนใจ เพราะรัฐบาลจีนต้องการแก้ไขปัญหามลพิษในประเทศที่สั่งสมมายาวนาน เช่น ฝุ่น PM 2.5 จีนจึงมีเป้าหมายเป็นผู้นำด้านพลังงานทางเลือก (Alternative Energy) อย่างกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์มีสัดส่วนสูงถึง 72% ของโลก วางแผนให้กำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศต้องมาจากพลังงานทางเลือก 35% ในปี 2573
นอกจากนี้ยังเป็นฐานการผลิตแบตเตอรี่ให้กับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) Tesla ยังลงทุนในจีน มี E-bus มากที่สุด รัฐบาลจีนเองให้เงินอุดหนุนกับประชาชนในการซื้อ EV ทำให้จีนเป็นตลาดใหญ่ของ EV ดังนั้นจีนกำลังพยายามเป็นผู้นำในเทรนด์ใหม่ๆ ของโลก เพื่อให้ตัวเองเป็นมหาอำนาจ
สาเหตุที่ Jitta Wealth เลือกธีมพลังงานสะอาดจีน แทนพลังงานสะอาดทั่วโลก เพราะดูความถูกแพงของ ETF ว่า ลงทุนในจีนคุ้มกว่า ผลตอบแทนและรายได้เฉลี่ย 3 ปี โตใกล้เคียงกันที่ 31.99% และ 20.39%
ธีมพลังงานสะอาดจีน ลงทุนใน KraneShares MSCI China Clean Technology Index ETF (KGRN) ถือหุ้นใน Nio กับ XPeng ที่ผลิต EV และ Shimao Group Holdings บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้นวัตกรรมประหยัดพลังงานมาออกแบบอาคาร
จุดเด่นของธีมพลังงานสะอาดจีน คือ เขาผลิตสินค้าขายในประเทศและส่งออก มีต้นทุนการผลิตต่ำ และเกิด Economy of Scale เช่น แผงโซลาร์ รถ EV ในอนาคตบริษัทเหล่าใช้ Know How ที่มีขยายธุรกิจต่อไปได้
สำหรับธีมจีโนมิกส์ คือ การใช้ประโยชน์จากถอดการรหัสพันธุกรรมของมนุษย์มาใช้ในวงการแพทย์ เริ่มพัฒนามานานหลายสิบปี อย่างสหรัฐฯ ก็ลงทุนด้านจีโนมิกส์ไปมากกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สิ่งที่ได้ คือ มนุษย์เรารู้จักพันธุกรรมได้ผิวเผินเพียง 10% อีก 90% ต้องใช้เทคโนโลยีมาช่วยถอดรหัสพันธุกรรม เพื่อให้เรารู้ว่า เรามีโรคร้ายที่ส่งต่อมาทางพันธุกรรมหรือไม่ ถ้ารู้ก่อน ก็จะช่วงรักษาชีวิตผู้คนทั่วโลกได้มากขึ้น
ผลวิจัยที่ออกมาชัดเจน คือ นวัตกรรม DNA Sequencing (จัดลำดับ DNA) ปัจจุบันใช้เวลาวิเคราะห์เพียง 2 เดือน ค่าใช้จ่ายเพียงเงินหลักร้อยดอลลาร์สหรัฐ วินิจฉัยได้ว่า รหัสพันธุกรรมแต่ละคนมีความผิดปกติไหม ใช้ AI คำนวณ จะแก้ไขความผิดปกติอย่างไร
นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรม Gene Editing (ตัดต่อพันธุกรรม) เมื่อพบแล้วว่า มีโรคติดต่อทางพันธุกรรม นวัตกรรมนี้จะสามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้เลย เช่น โรคธาลัสซีเมีย โรคตาบอดสี
นวัตกรรมด้านจีโนมิกส์หลายด้าน ได้ถูกพัฒนาในขั้นตอนทดลองทางคลินิก (Clinical Trial) ไปแล้วและรอขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) ก็จะสามารถส่งออกไปใช้ประโยชน์ได้แพร่หลายทั่วโลก
ธีมจีโนมิกส์ คือ การต่อยอดธุรกิจสุขภาพ และตอกย้ำให้เรารู้ว่า การรักษาชีวิตสำคัญมาก อนาคตมนุษย์จะเปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิต และอายุขัยของมนุษย์จะยาวนานมากขึ้น
ธีมจีโนมิกส์ลงทุนใน iShares Genomics Immunology and Healthcare ETF (IDNA) ถือหุ้นใน Invitae (เชี่ยวชาญ DNA Sequencing) และ Moderna (ผลิตยาและวัคซีน) หลายๆ บริษัทใน ETF ยังมีขนาดเล็ก บางรายเป็นสตาร์ตอัป มาร์เก็ตแคปไม่ใหญ่ อนาคตถูกบริษัทใหญ่อย่าง Pfizer ไปเทคโอเวิร์มาได้
หุ้นในธีมจีโนมิกส์ รายได้เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีเติบโต 42% สูงกว่ากลุ่มเทคโนโลยีและเมกะเทรนด์ ในอนาคตก็จะเติบโตมากจากการนำนวัตกรรมไปใช้ในวงการสาธารณสุขทั่วโลก เป็นการวินิจฉัยโรคที่แม่นยำ (Precision Medicine) รู้ต้นตอของโรคและรักษาได้ตรงจุด
Jitta Wealth ได้เพิ่มการลงทุนหุ้นจีนสำหรับกองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking คุณตราวุทธิ์ บอกว่า หุ้นจีนยังมีโอกาสเติบโตได้ในอนาคต นอกจากตลาดหุ้นเวียดนาม เพราะ เศรษฐกิจเติบโตสูง ประชากรพ้นขีดความยากจนไปแล้ว 800 ล้านคน จากทั้งหมด 1,400 ล้านคน คนเหล่านี้มีเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ
ที่ผ่านมา จีนมีการพัฒนาประเทศหลายๆ ด้าน มี Know How เป็นของตัวเอง การเมืองมีเสถียรภาพ มีแผนพัฒนาประเทศยาว 20 ปี
ส่วนเรื่องที่รัฐบาลพยายามเข้ามาคุมการดำเนินการของบริษัทเทคโนโลยีในจีน มองอีกด้าน คือ การเฝ้าระวังและออกกฎเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อให้ประชาชนไม่เดือนร้อน อย่างก่อนหน้านี้ รัฐบาลก็เข้ามาดูแลภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีน ไม่ให้เกิดฟองสบู่ เพิ่มเกณฑ์ให้วางเงินดาวน์มากขึ้น ตอนที่ตลาดหุ้นจีนขึ้นมาสูงมาก รัฐบาลก็ออกมาเตือน สกัดความร้อนแรง
ปัจจุบันตลาดหุ้นจีนมีศักยภาพเติบโตตามเศรษฐกิจของประเทศ ราคาหุ้นยังถูกมาก แม้จะมีเม็ดเงินจากต่างชาติเข้าไปลงทุนแล้ว แต่มาร์เก็ตแคปยังไม่เท่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ประชากรจีนเยอะ หลายคนยังไม่เคยลงทุนในหุ้น แต่เมื่อคนมีความมั่งคั่งมากขึ้น เม็ดเงินจากรายย่อยก็จะไหลเข้าตลาดหุ้นจีนมากขึ้น เหมือนเวียดนาม
Jitta Ranking คือ การเลือก ‘หุ้นดี ราคาถูก’ ผ่านแพลตฟอร์ม Jitta โดยจะลงทุนหุ้นจีนในดัชนี A-share ผ่านระบบ Stock Connect ของตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HKEX)
หากคุณสนใจกองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking จีน รอติดตาม Live สดจาก Jitta Wealth ได้ในเดือนกรกฎาคม
การตกแต่งบัญชีเป็นความเสี่ยงหนึ่งของการลงทุนที่เกิดขึ้นได้ และนักลงทุนไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า ดังนั้นการกระจายความเสี่ยงในหุ้นหลายๆ ตัว หลายๆ อุตสาหกรรม อย่างที่ Jitta Ranking กระจายซื้อหุ้น 20-30 ตัว หรือการซื้อ ETF ที่ลงทุนในธุรกิจหลายสิบธุรกิจ จะช่วยลดความเสี่ยงตรงนี้ไปได้ ทำให้พอร์ตโดยรวมไม่ได้รับผลกระทบมากในกรณีที่หุ้นที่ถืออยู่ถูกเปิดโปงว่าตกแต่งบัญชี
มีความเป็นไปได้ เพราะบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีน Alibaba Tencent หรือ Xiaomi ก็มีมาร์เก็ตแคปใหญ่มาก แต่ก็มีหุ้นจีนหลายตัวไม่ได้อยู่ในกลุ่มเทคโนโลยี ยังเป็นธุรกิจดั้งเดิม มาร์เก็ตแคปอาจจะไม่ใหญ่มาก มีรายได้สูง ราคาหุ้นยังไม่แพง เช่น เครื่องดื่ม ร้านอาหาร และอสังหาริมทรัพย์
มีเป็นบางตัว ธีมตลาดหุ้นจีนจะเน้นบริษัทจีนใหญ่ ส่วนพลังงานสะอาดจีน หุ้นมีมาร์เก็ตแคปน้อยกว่า ดังนั้นต่อให้ลงทุนหุ้นเหมือนกัน แต่ไม่มีผลกระทบ เพราะธีมตลาดหุ้นจีนลงทุนทั้งประเทศ คนละเป้าหมาย พลังงานสะอาดจีนก็ลงเฉพาะบริษัทในกลุ่ม ถ้ามั่นใจว่า พลังงานสะอาดในจีนจะโตกว่าเศรษฐกิจโดยรวม ก็จัดพอร์ตลงทุนพร้อมกันได้
ถ้าลงทุน 3 ล้านบาท จะกระจายความเสี่ยงได้ 20 หุ้น ถ้าลงทุนขั้นต่ำ 1 ล้าน จะกระจายความเสี่ยงได้ 5-6 ตัว ซึ่งก็เพียงพอแล้ว แต่พอร์ตจะมีความผันผวนสูงกว่าในระยะสั้น ส่วนผลตอบแทนระยะยาวไม่มีความแตกต่างกัน หรือถ้าอยากให้พอร์ตลงทุนโต สามารถทยอยเพิ่มทุนได้ ระบบของ Jitta Ranking จะลงทุนในจำนวนหุ้นที่มากขึ้น การกระจายความเสี่ยงที่ดีขึ้นก็จะตามมา
เวียดนามยังมีเศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง ราคาหุ้นยังถูกเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ส่วนที่ดัชนี VNI กำลังทำนิวไฮ อยากให้พิจารณาบริบทอื่นๆ ประกอบกันด้วย ทั้งเศรษฐกิจและคุณภาพของหุ้น ซึ่งนิวไฮรอบนี้ไม่น่ากลัว คาดว่า จะเป็นจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญของเวียดนาม
ภาพใหญ่ของตลาดหุ้นอินเดียมีความน่าสนใจ ผลตอบแทนระยะยาวดีที่สุดประมาณ 15-20% แต่การลงทุนจากต่างชาติค่อนข้างยาก ซึ่ง Jitta Wealth จะโอกาสพูดคุยกับพาร์ตเนอร์ก่อน ถ้าสามารถเปิดให้บริการได้ จะทำทันที
การเติบโตของเศรษฐกิจไทยหลังจากนี้ อาจจะเติบโตได้แค่ปีละ 2-3% ทำให้ผลตอบแทนของตลาดหุ้นในอนาคต ก็จะน้อยกว่าในอดีตที่ได้เฉลี่ยปีละ 10% ต่อปี อาจจะลดลงเหลือราวๆ 6-8% ต่อปี
สำหรับกลยุทธ์ Jitta Ranking นั้น เป็นกลยุทธ์แบบ VI (Value Investing) ที่เน้นเสาะหาและลงทุนใน ‘หุ้นดี ราคาถูก’ เป็นหลัก ดังนั้นต่อให้เศรษฐกิจหรือตลาดหุ้นไทยจะเติบโตน้อยลง แต่ถ้ายังมีบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตอยู่ ผลตอบแทนโดยรวมก็น่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ถ้าอ้างอิงจากผลตอบแทนในอดีตที่ Jitta Ranking สามารถเอาชนะดัชนีได้ในระยะยาว ผลตอบแทนของ Jitta Ranking ไทย ก็มีโอกาสจะทำได้อยู่ที่ราวๆ 10-15% ต่อปี
แต่ถ้าเราเทียบกับโอกาสต่างๆ ที่เราสามารถลงทุนได้ เช่น จีน เวียดนาม หรือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีแล้ว ก็อาจจะมองได้ว่า การไปลงทุนในที่อื่นๆ มีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนที่มากกว่าการลงทุนในไทยในระยะยาวได้
ทั้งนี้การลงทุนในไทยนั้น ก็มีข้อดีคือ เงินอยู่ใกล้ตัว ไม่ต้องรับความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ถ้ามีอะไรฉุกเฉิน สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็วกว่า
เพื่อให้มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม เราควรจะจัดสรรพอร์ต ลงทุนหุ้นไทยในระดับหนึ่ง แล้วนอกเหนือจากนั้น ก็นำไปลงทุนต่างประเทศ ก็จะเหมาะสมกว่าที่จะนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศทั้งหมด
Jitta Wealth ใช้อัลกอริทึม คนที่จะทำหน้าพัฒนาระบบ เขียนโค้ด อย่าง Jitta Ranking ปรับจะใช้ AI เยอะ ตั้งแต่การคัดเลือก ‘หุ้นดี ราคาถูก’ ปรับพอร์ตอัตโนมัติรักษาสัดส่วนการถือหุ้นในพอร์ตให้เท่าๆ กัน
ส่วน Global ETF กับ Thematic จะใช้การปรับพอร์ตอัตโนมัติ Jitta Wealth เขียนอัลกอริทึมไว้แล้ว กรณีที่สัดส่วนการลงทุนมากกว่าจากที่ตั้งค่าไว้อย่างน้อย 5% ระบบจะทำการขาย ETF ที่มูลค่าสูง มาลงทุนใน ETF ที่มูลค่าน้อยกว่า เพื่อปรับสัดส่วนให้สมดุลกัน
ข้อดีของการใช้อัลกอริทึม คือ ไม่มี Bias เท่ากับใช้คนมาเลือกสินทรัพย์ ซึ่งอาจจะใช้อารมณ์ ความรู้สึก และมีการเปลี่ยนมือได้เสมอ ถ้าลงทุนแบบใช้อัลกอริทึม จะรักษาผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว ทำเพียงพัฒนาปรับปรุงอัลกอริทึมให้มีความแม่นยำมากขึ้น
ถ้ามีเงินพร้อมสามารถเพิ่มทุนได้เลย หากจะเข้าเป็นช่วงๆ พยายามไม่ต้องคิดว่า ต้องเป็นช่วงไหน เพราะทำให้เราไปโฟกัสที่การจับจังหวะ และลังเลไม่เพิ่มทุนเข้าไป
การลงทุนสม่ำเสมอคือให้เงินทำงานด้วยตัวเอง หากคุณลงทุนเดือนละ 10,000 บาท เป็นเวลา 20 ปี รวมเงินต้นคือ 2.4 ล้านบาท ดังนั้นการเพิ่มทุนเป็นสัดส่วนเพียงแค่ 5% ของมูลค่าในอนาคต หากเข้าลงทุนแล้วราคาหุ้นตกไป ก็ไม่กระทบกับผลตอบแทนระยะยาวหรือความั่งคั่งของคุณ
ดังนั้นการลงทุนระยะยาวให้สบายใจ การทำให้ได้ตามเป้าหมายสำคัญกว่าลงทุนแบบจับจังหวะ ในระยะยาวผลตอบแทนดีเอง
Jitta Ranking จะมีการปรับพอร์ตทุก 3 เดือน เมื่อครบรอบปรับพอร์ต ก็จะเข้าไปดูว่า ในพอร์ตลงทุนหุ้นอะไรบ้าง ในสัดส่วนเท่าไร อันดับหุ้นใน Jitta Ranking เปลี่ยนแปลงหรือไม่ ต้องขายหุ้นตัวไหน (ที่หลุดออกจากอันดับ) หรือซื้อหุ้นตัวไหนเข้าพอร์ต (ที่ถูกคำนวณเข้ามาติดอันดับ) เป็นการดูภาพรวมของพอร์ตทั้งหมด รวมทั้งการถือเงินสดในพอร์ตด้วย
ส่วน Global ETF และ Jitta Ranking จะปรับพอร์ต เมื่อสัดส่วน ETF เปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 5% ขายส่วนที่มีมูลค่าสูง มาซื้อ ETF ตัวอื่นๆ ที่มีมูลค่าน้อยกว่า
สมมติ Jitta Ranking ลงทุน 1 ล้านบาท ครบ 3 เดือนในการปรับพอร์ต มีกำไร 20% และได้เงินปันผลอีก 4% รวมเป็น 1.24 ล้านบาท ระบบก็จะมาดูว่า ถือหุ้นปรับพอร์ตสัดส่วนเป็นอย่างไร หุ้นตัวไหนต้องซื้อเพิ่ม เอาเงินปันผลมาลงทุนเพิ่มอีก เป็นการเอากำไรไปทบต้นเรื่อยๆ เงินไม่ได้ออกเลย เป็นการเงินสดไปซื้อหุ้นที่ดีที่สุดต่อ ไม่ปล่อยให้เงินสดอยู่นิ่ง
กองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth มีค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ 0.5% ต่อปี คำนวณเป็นรายวันตามมูลค่าของพอร์ต และหารด้วย 365 วัน ทบไปเรื่อยๆ แล้วตัดออกจากเงินสดในพอร์ตทุกๆ ไตรมาส
ส่วนที่ Jitta Ranking มีมาเพิ่ม คือ ค่าธรรมเนียมกำไร (Performance Fee) 10% เป็นค่าตอบแทนให้ทีมงานผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม Jitta เพราะ AI และอัลกอริทึมที่ถูกพัฒนาขึ้นมา สามารถคัดเลือก ‘หุ้นดี ราคาถูก’ ให้พอร์ตคุณมีผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีตลาดได้ โดยคำนวณแบบ High Water Mark (จุดสูงสุดเดิมของพอร์ต) คำนวณค่าธรรมเนียมทุกสิ้นปี ถ้าสิ้นปีไหน มูลค่าน้อยกว่าจุดสูงสุดเดิมที่เคยทำได้ หรือพอร์ตขาดทุน จะไม่คิดค่าธรรมเนียมส่วนนี้ ซึ่งก็เป็นธรรมกับลูกค้าด้วย เป็น Win-Win Situation ทั้ง 2 ฝ่าย เราลงเรือพร้อมกับลูกค้า เราต้องพยายามบริหารให้ได้กำไร ดังนั้นการปรับอัลกอริทึมให้แม่นยำขึ้นทุกปี ตัวรายได้ส่วนนี้จะเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้มีค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่เรียกเก็บจากหน่วยงานภายนอก เช่น ค่าซื้อขายหลักทรัพย์ จ่ายตามจริง ค่าธรรมเนียมรับฝากสินทรัพย์ 0.1% ต่อปี
คำนวณแยกกัน ค่าธรรมเนียมส่วนนี้จะมีขั้นต่ำ 80 บาทต่อเดือน หรือประมาณ 960 บาทต่อปี หากไม่สามารถลงทุนมูลค่าสูงได้ แนะนำให้เลือกพอร์ตลงทุนที่คิดว่าจะโตสูง เพื่อให้ผลตอบแทนที่ได้รับคุ้มกับค่าธรรมเนียมรับฝากสินทรัพย์ หรือแนะนำให้ทยอยเพิ่มทุนให้มูลค่าพอร์ตเพิ่มขึ้น จึงทำให้ Jitta Wealth ยังต้องมีขั้นต่ำไว้ที่ 100,000 บาท
การประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนมีต้นทุนการซื้อสัญญา จะทำให้ผลตอบแทนน้อยลง โดยที่เราคาดการณ์ไม่ได้ว่า ค่าเงินจะแข็งค่าหรืออ่อนค่า ในการลงระยะยาว 3-5 ปี ไม่มีต้นทุนซื้อประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนจะดีกว่า โดยส่วนต่างค่าเงินที่เกิดขึ้นเมื่อถอนเงินลงทุนออกมาจะไม่เยอะมาก และผลตอบแทนที่เกิดขึ้นในระยะยาวสามารถชดเชยได้ รวมทั้งการ DCA จะช่วยเฉลี่ยต้นทุนในพอร์ตลงทุนได้อีกด้วย
นอกจากนี้ Jitta Wealth ลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และกำลังจะมีหยวนจีน ซึ่งเป็นสกุลหลักของโลก ความผันผวนน้อย และมีเสถียรภาพมาก
Jitta Ranking ไทย หุ้นบางตัวมีการเพิ่มทุน หากไม่เพิ่มทุนตามนโยบายของบริษัท ราคาหุ้นจะลดลงมา (Dilute)
ถ้าเราลงทุนในหุ้นคุณภาพดี จะมีกระแสเงินสดสูงอยู่แล้ว บริษัทไม่มีความจำเป็นต้องหาเงินเพิ่มจากการเพิ่มทุนเลย แต่บางครั้งก็จะมีบางกรณีที่บริษัทต้องลงทุนหมาศาล
Jitta Wealth ก็ไปทำ Back Test ดูข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี พบว่าในแต่ละปี ตลาดหุ้นไทยจะมีกรณีหุ้นเพิ่มทุน 1-2 บริษัท บางครั้งอาจจะเป็นหุ้นในพอร์ตสัดส่วน 3-6% ซึ่งไม่มีผลกับพอร์ตโดยรวม
Jitta Wealth ทำข้อมูลอีกว่า หลังจากเพิ่มทุนมาแล้ว ใน 1 ปี 60-70% ของหุ้นที่เพิ่มทุนไปแล้ว ราคาไม่ได้ดีกว่าก่อนเพิ่มทุนเลย ดังนั้นเราจึงเขียนอัลกอริทึมว่า ถ้ามีกรณีเพิ่มทุน เราจะไม่เพิ่ม
Jitta Wealth ไม่มีกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำในการลงทุน อย่างไรก็ตาม อยากให้มองว่าการลงทุนกับ Jitta Wealth คือการลงทุนระยะยาว เงินที่นำมาลงทุนควรเป็นเงินเย็น แต่ถ้าคุณจำเป็นต้องถอนเงินก็สามารถถอนได้ เพราะหน้าที่เราคือการบริหารเงิน ไม่ใช่กั๊กเงินลงทุนของคุณ
คุณสามารถถอนได้ขั้นต่ำ 100,000 บาท และต้องเหลือเงินในพอร์ตไม่น้อยกว่าเงินลงทุนขั้นต่ำของแต่ละนโยบาย เช่น ลงทุน Jitta Ranking ไทย ต้องการถอนเงินบางส่วนออกมา ในพอร์ตจะต้องเหลือเงินหลังจากถอนแล้วไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท หากคุณถอนแล้วเงินเหลือ 300,000 บาท ก็จำเป็นต้องถอนทั้งหมดแล้วปิดพอร์ต
ในการถอนแต่ละครั้งจะไม่ถึงกับต้องปรับพอร์ต หากมีเงินสดเพียงพอกับจำนวนที่คุณต้องการถอน เราก็จะโอนเงินสดให้คุณได้เลย แต่หากเงินสดไม่เพียงพอ ก็จะต้องมีการขายสินทรัพย์บางส่วนออกมา ซึ่งเราจะกระจายขายในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้ภายในพอร์ตเหลือหุ้นหรือ ETF ในสัดส่วนที่เท่าๆ กัน
ราคาหุ้นปรับฐานไปแล้ว ตอนนี้คนน่าจะกำลังรอดูผลประกอบการในไตรมาส 2 กันอยู่ ซึ่งผลประกอบการของธุรกิจเทคโนโลยีท่องเที่ยวก็มีสัญญาฟื้นตัวเช่น Airbnb หรือ Uber แม้คนจะออกไปเที่ยวระหว่างประเทศไม่ได้ ก็ยังต้องการท่องเที่ยวอยู่ และเลือกท่องเที่ยวในประเทศไปก่อน ดังนั้น ภาพใหญ่ท่องเที่ยวยังไงก็ต้องกลับมา และมีแนวโน้มว่า บริษัทเทคโนโลยีท่องเที่ยวจะพลิกฟื้นกลับมาได้เร็วกว่าธุรกิจท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม เพราะเป็นธุรกิจมีต้นทุนน้อย งบการเงินหลังจากนี้น่าจะโตดีมาก เมื่อเทียบกับงบการเงินปีก่อนหดมาก มองว่า ตอนนี้เป็นโอกาสลงทุน
เรามองหาธีมการลงทุนใหม่ๆ ที่น่าสนใจอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่น เซมิคอนดักเตอร์ ควอนตัมคอมพิวติง IoT (Internet of Thing) พลังงานสะอาด EV อวกาศ คริปโตเคอร์เรนซี เราก็สังเกตการณ์อยู่ อยากจะนำมาให้ลงทุน แต่ต้องดูให้มั่นใจว่าเป็นเมกะเทรนด์จริงๆ ไม่ได้เป็นแค่แฟชั่นที่มาเดี๋ยวเดียวก็ไป อีกธีมที่น่าสนใจก็คือ Alternative Food กับ Luxury Brand หรือถ้าคุณมีธีมไหนที่สนใจก็สามารถแจ้งเข้ามาได้ เราจะรวบรวมข้อมูลไปพิจารณาเลือกธีมการลงทุนให้
เราทบทวน ETF เรื่อยๆ สำหรับ Thematic เรามีอัลกอริทึมในการคัดเลือก ETF อยู่แล้ว และรีวิวทุกๆ 3 เดือน เพื่อดูว่า ETF นั้นยังน่าสนใจอยู่หรือไม่ มูลค่า AUM ยังแข็งแกร่งและมีน่าเชื่อถืออยู่หรือเปล่า มี Expense Ratio สัดส่วนค่าใช้จ่ายต่ำ และ Tracking Error ต่ำอยู่เหมือนเดิมหรือไม่
ส่วน Global ETF จะรีวิวทุกไตรมาสเช่นกัน และทุกปีจะตกลงกันว่าจะเปลี่ยน ETF หรือไม่ แต่เนื่องจาก ETF ที่เลือกลงทุนของ Global ETF ค่อนข้างขนาดใหญ่มาก เรียกว่ามี Economies of Scale ทำให้ค่าธรรมเนียมต่ำ และ Tracking Error ก็ต่ำ ผลตอบแทนได้ก็ใกล้เคียงดัชนีที่อ้างอิงมาก โอกาสที่จะเปลี่ยนจึงมีน้อยมาก
จะลงทุน 4 หรือ 5 ธีมก็ได้ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แต่แน่นอนว่า เมื่อแบ่งน้ำหนักกันแล้ว 5 ธีมก็จะผันผวนน้อยกว่า 4 ธีม และ 4 ธีม ก็จะผันผวนน้อยกว่า 3 ธีม หรือ 2 ธีม
เหมาะมาก เพราะ Global ETF ออกแบบพอร์ตสำเร็จรูปมาให้แล้ว เป็นการลงทุนแบบจัดสรรสินทรัพย์ในหุ้นและพันธบัตรตามหลักการ Modern Portfolio Theory เพื่อวางแผนการเงินระยะยาว พอร์ตจะเติบโตเรื่อยๆ ความผันผวนค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับนโยบายอื่นๆ สามารถลงได้ทั้งแผนพอเพียง สมดุล และเติบโต ขึ้นอยู่กับว่ารับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อรับความเสี่ยงได้มากขึ้นค่อยลงทุน Thematic หรือ Jitta Ranking ถ้าอยากลงทุนทั้ง 3 นโยบาย ก็แบ่งเงินตามสัดส่วนที่รับความเสี่ยงได้ เช่น ถ้ารับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูง ก็ลง Thematic 80% Global ETF 20% หรือลงทุน Jitta Ranking 40% Thematic 30% และ Global ETF 30% ก็ได้
แน่นอนว่า หากคุณไปซื้อ ETF ด้วยตนเองโดยการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศกับโบรกเกอร์ที่ให้บริการ คุณจะไม่ต้องเสียค่าบริหารจัดการ 0.5% ซึ่งจะทำให้โดยรวมแล้ว ค่าธรรมเนียมอาจจะถูกกว่าการลงทุนกับ Jitta Wealth
อย่างไรก็ตาม คุณอาจจะต้องคำนึงถึงค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ และจำนวนเงินขั้นต่ำในการลงทุนต่างประเทศ ที่หลายๆ โบรกเกอร์จะมีกำหนดไว้ด้วย ในบางกรณี จำเป็นลงทุนมากกว่า 100,000 บาท เพื่อให้คุ้มกับค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ ค่าโอนเงินไปต่างประเทศ และค่าดำเนินการอื่นๆ
นอกจากนี้ คุณยังต้องบริหารจัดการพอร์ต ติดตามพอร์ต และซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายที่ต้องการ ซึ่งถ้าคุณไม่มีเวลาทำดังที่กล่าวมาอย่างมีวินัย อาจส่งผลให้พอร์ตขาดทุนถาวรได้ จึงจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยตรงนี้ร่วมด้วย นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมเพียงอย่างเดียว
คุณสามารถเลือกดูค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นจริงตามนโยบายการลงทุนที่สนใจได้ที่นี่ https://tools.jittawealth.com/fee-calculation
เนื่องจากการลงทุนในธีมเมกะเทรนด์ต่างๆ เป็นการลงทุนเพื่อผลตอบแทนที่เติบโตสูงในระยะยาว ตามการเติบโตของเมกะเทรนด์ต่างๆ จึงไม่จำเป็นต้องจับจังหวะลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดี นอกจากนี้ การรองบไตรมาส 2 ออกมาก่อน ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่า คุณจะได้ลงทุนในราคาที่ดีกว่า หรือแย่กว่าปัจจุบัน หากงบการเงินออกมาแล้ว ผลประกอบการดีมาก ก็อาจจะทำให้ธีมนั้นๆ ราคาพุ่งขึ้นสูงไปอีก คุณก็จะเสียโอกาสลงทุนตอนที่ราคายังต่ำอยู่ หรือในทางตรงกันข้าม หากงบการเงินออกมาไม่ดี ราคาธีมพุ่งตกลง คุณก็อาจจะไม่แน่ใจ ไม่กล้าตัดสินใจลงทุน กลัวว่าราคาจะพุ่งตกลงไปอีก ทำให้พลาดโอกาสการลงทุนไปอีกเช่นกัน ดังนั้น การลงทุนโดยไม่จับจังหวะ แล้วโฟกัสที่ภาพใหญ่เป็นหลัก จึงเป็นวินัยการลงทุนที่ดี ที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการลงทุนอย่างยั่งยืน
ธีมเทคโนโลยีครอบคลุมหุ้นเกือบ 200 หุ้นทั่วโลกที่สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งอาจจะมีหุ้นเทคโนโลยีจีนรวมอยู่ในนั้นด้วย แต่ก็อาจจะไม่ได้เยอะมาก ในขณะที่ธีมเทคโนโลยีหุ้นจีน จะเน้นที่หุ้นเทคโนโลยีจีนเลยประมาณ 100 บริษัท เหมาะสำหรับคนที่ต้องการโฟกัสการลงทุนไปที่ประเทศจีนอย่างเดียว
ในแง่ของการเติบโต อาจจะไม่สามารถฟันธงได้ว่าอันไหนจะเติบโตมากกว่า เพราะหุ้นต่างๆ ในธีมเทคโนโลยี ประกอบไปด้วยเทคโนโลยีหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ เทคโนโลยีทางการเงิน ซึ่งในอนาคตก็มีแนวโน้มว่าจะเฟื่องฟูมาก ในขณะเดียวกัน หุ้นเทคโนโลยีจีนก็มีแนวโน้มจะเติบโตสูงไปตามอัตราการบริโภคของจีนที่จะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด
อย่างไรก็ตาม หากมองความเสี่ยงแล้ว จะเห็นได้ว่า ธีมเทคโนโลยีจีนจะมีความเสี่ยงระดับประเทศ เนื่องจากกระจุกตัวอยู่ในประเทศจีนประเทศเดียว จะได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลจีนโดยตรง แต่หุ้นธีมเทคโนโลยีกระจายตัวอยู่ทุกมุมโลก จึงได้รับผลกระทบจากนโยบายระดับประเทศน้อยกว่า
คุณสามารถลงทุนทั้งสองธีมได้ถ้าเชื่อมั่นในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมาก แต่ถ้าต้องการเลือกธีมใดธีมหนึ่ง ควรจะพิจารณาถึงความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ ว่าต้องการกระจายลงทุนเทคโนโลยีทั่วโลก ลดความเสี่ยงระดับประเทศ หรือต้องการลงทุนเทคโนโลยีจีนเพียงอย่างเดียว
คุณสามารถตรวจสอบรายละเอียดการซื้อขายได้ผ่านแอปพลิเคชัน Jitta Wealth และรายงานประจำเดือนที่ส่งให้ทุกสิ้นเดือนทางอีเมลที่ผูกกับบัญชีลงทุนของคุณ หรือคุณสามารถสอบถามทางทีมงานได้ ในวันและเวลาทำการ
Jitta Wealth ยังต้องการเลือกจัดสรรเงินลงทุนในสัดส่วนที่ต้องการเอง ในอดีตที่ผ่านมาหุ้นในสหรัฐฯ มีผลตอบแทนที่สูงโดดเด่นกว่าหุ้นในภูมิภาคอื่น ในขณะที่ตลาดเกิดใหม่มีความผันผวนสูงให้ผลตอบแทนที่ไม่แน่นอน การแบ่งลงทุนใน ETF 3 ตัว ทำให้เราสามารถหาสัดส่วนที่เหมาะสมที่สามารถสร้างผลตอบแทน และมีความผันผวนที่เราต้องการได้ ถ้าหากผลตอบแทนของภูมิภาคอื่นดีขึ้นก็สามารถขยับเพิ่มลดสัดส่วนได้ด้วย
การเปิดหลายๆ พอร์ต จะช่วยให้คุณกระจายความเสี่ยงลงทุนหลากหลายรูปแบบ และหลากหลายประเทศ ขึ้นอยู่กับนโยบายลงทุนที่คุณเลือก เช่น คุณอาจจะเลือกลงทุนความเสี่ยงสูงกับ Jitta Ranking – U.S. Tech ควบคู่ไปกับการลงทุนที่เสี่ยงน้อยลงมาอย่าง Global ETF แผนเติบโต เมื่อพอร์ต Jitta Ranking ของคุณผันผวนหนัก คุณก็ยังสบายใจได้ เพราะพอร์ต Global ETF ช่วยพยุงภาพรวมการลงทุนไว้ไม่ให้ผันผวนหนักมาก
ส่วนค่าธรรมเนียมนั้น ก็จะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนของเงินลงทุน ดังนั้น เมื่อคุณเปิดพอร์ตเพิ่ม และใส่เงินลงทุนเพิ่มเข้ามา ค่าธรรมเนียมก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ธีมทุกธีมที่ Jitta Wealth คัดสรรมาให้คุณเลือกลงทุน ล้วนผ่านการพิจารณาอย่างดีแล้วว่า เป็นเมกะเทรนด์ที่มีแนวโน้มเติบโตดีในอีก 10-20 ปีข้างหน้า แน่นอนว่า อาจจะมีธีมบางธีม ที่ราคาในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาพุ่งขึ้นเร็วกว่าธีมอื่นๆ แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ลงทุนได้ เพื่อผลตอบแทนระยะยาว หากคุณกังวล แนะนำให้ทยอยเพิ่มทุนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความผันผวนในพอร์ต
ส่วนธีมไหนราคายังถูก น่าลงทุนในตอนนี้ คุณอาจจะลองไปดูผลตอบแทนของแต่ละธีม เปรียบเทียบกับรายได้ของธุรกิจในธีมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพื่อดูว่ารายได้เติบโตสูงกว่าหรือน้อยกว่าราคาของแต่ละ ETF หากรายได้เติบโตสูงกว่าราคา ETF ก็สันนิษฐานได้ว่า ราคายังต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม หรือ ‘ถูก’ นั่นเอง
ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยแล้ว ธีมที่รายได้เติบโตมากกว่าราคา ETF ได้แก่ ธีมตลาดหุ้นจีน ธีมเทคโนโลยี ธีมอีคอมเมิร์ซ ธีมคลาวด์ ธีมฟินเทค ธีมเทคโนโลยีจีน ธีมกัญชา และธีมจีโนมิกส์
แคมเปญส่วนลดค่าธรรมเนียมของ Jitta Wealth ไม่ได้มีกำหนดการที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความเหมาะสม ซึ่งหากมีแคมเปญเกิดขึ้น เราจะแจ้งให้ทราบทางอีเมล และแจ้งเตือนผ่านทางแอปพลิเคชัน เพื่อไม่ให้พลาดข่าวสารดีๆ เหล่านี้ อย่าลืมเปิดดูอีเมลจาก Jitta Wealth เป็นระยะๆ และเพิ่ม Jitta Wealth ใน Safe Sender List ในโปรแกรมอีเมลของคุณ
ทีมงาน Jitta Wealth ติดตามข่าวสารและสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนตลอดเวลา และอัปเดตข่าวสารดังกล่าวให้นักลงทุนทราบรายสัปดาห์ผ่านทางอีเมล เฟซบุ๊ก และเว็บไซต์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกลยุทธ์การลงทุนของ Jitta Wealth เป็นการลงทุนตามหลักการลงทุนที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ สามารถข้ามผ่านสถานการณ์ต่างๆ ในระยะสั้น เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้คุณ ดังนั้น สถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้จึงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์การลงทุนของ Jitta Wealth อย่างมีนัยสำคัญ
ผลตอบแทนย้อนหลังเป็นผลตอบแทนหลังจากหักค่าธรรมเนียมต่างๆ ทั้งค่าบริหารจัดการ ค่าผู้รับฝากสินทรัพย์ และค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งหมดแล้ว
ถ้ามองว่า กลยุทธ์ที่เราเลือกนั้น มีผลตอบแทนตามที่เราต้องการแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Global ETF หรือ Thematic ก็ถือว่า การลงทุนนั้นๆ คุ้มค่ากับค่าธรรมเนียมที่จ่ายไป
เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกในปัจจุบัน ดังนั้นถ้าหากว่าเกิดวิกฤตขึ้นมา ก็มีโอกาสที่จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของประเทศอื่นๆ แน่นอน
แต่ต้องดูต้นตอของวิกฤตนั้นๆ ด้วยว่า เป็นวิกฤตที่จะกระทบเชิงโครงสร้างของประเทศอื่นๆมากน้อยแค่ไหน เพราะถ้าวิกฤตที่เกิดขึ้นไม่ได้กระทบเชิงโครงสร้างที่ทำให้ประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนามแย่ลง เศรษฐกิจเติบโตได้ช้าลง ผลกระทบก็จะมีเกิดแค่ในตลาดหุ้นที่อาจจะตกลงและมีความผันผวนในระยะสั้น และก็จะฟื้นกลับขึ้นมาได้ เช่น วิกฤตการเงินของสหรัฐในปี 2551 ก็ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงหนัก แต่สักพักตลาดหุ้นทั่วโลกก็ฟื้นกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับนโยบายการลงทุนต่างๆ ของ Jitta Wealth นั้น ก็มีการออกแบบเพื่อรับความเสี่ยงและความผันผวนตรงนี้ไว้แล้ว โดยแต่ละนโยบายจะมีการเลือกสินทรัพย์ที่มั่นคง สามารถเติบโตได้ในระยะยาวผ่านวิกฤตต่างๆ ได้ดี และมีการกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสม มีการดูแลและปรับพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นต่อให้เกิดวิกฤตใดๆ ขึ้นมา ถ้าหากว่าเราถือครองการลงทุนผ่านไปได้ เราก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดีอยู่ หรือถ้าเรามีเงินลงทุนที่สามารถเพิ่มทุนได้ ก็มองว่า ทุกวิกฤตจะเป็นโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนให้เราได้
ในปัจจุบัน โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น คงมีโอกาสน้อยมากๆ เพราะตลาดหุ้นของแต่ละประเทศได้มีการพัฒนาขึ้นมาจากเดิมมากแล้ว และนโยบายการบริหารของทุกประเทศ ค่อนข้างจะเปิดเสรีทางด้านการลงทุน รัฐบาลมีแต่จะส่งเสริมให้คนต่างชาติมาลงทุนในตลาดหุ้นตัวเอง ไม่มีใครอยากจะทำให้ตลาดหุ้นมีปัญหา และต่างชาติไม่กล้าลงทุน
เนื่องจากนโยบายการลงทุนของ Jitta Wealth ส่วนมาก จะเป็นการลงทุนในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่มีการพัฒนาการตลาดหุ้นสูงมากๆ แล้ว ดังนั้นในส่วนแผนการลงทุน Global ETF หรือ Thematic นั้น คิดว่า ความเสี่ยงตรงนี้แทบจะไม่มีเลย โอกาสที่จะเกิดกรณีแบบนี้ขึ้น น่าจะเกิดกับการลงทุนในจีนหรือเวียดนามมากกว่า
ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบที่ว่าขึ้นมา ทาง Jitta Wealth จะต้องแจ้งนักลงทุนให้ทราบ คอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และรอจนกว่าทางประเทศต้นทางจะเปิดให้ขายสินทรัพย์และโอนเงินลงทุนกลับไทยมาได้ จึงจะสามารถโอนเงินคืนนักลงทุนได้
สรุปคำถาม-ตอบ Exclusive Q&A with CEO จาก Jitta Wealth เดือนพฤษภาคม 2564
สรุปคำถาม-ตอบ Exclusive Q&A with CEO จาก Jitta Wealth เดือนเมษายน 2564