Jitta Wealth Journal - สิ่งที่ควรคิด ก่อนขายหุ้นจีนออกจากพอร์ต

22 มีนาคม 2565Jitta Wealth Journal

Fed ขึ้นดอกเบี้ยลากยาว 2 ปี อีกเกือบ 10 ครั้ง 

Jitta Wealth Journal ปีที่ 2 ฉบับที่ 69 ประจำวันที่ 22 มีนาคม 2565 ทีมงานได้รวบรวมข่าวสารและสรุปสถานการณ์การลงทุนทั่วโลกมาให้คุณแล้ว ดังนี้ 

  • ตลาดหุ้นจีนพุ่งแรง หลังรัฐบาลจีนประกาศหนุนตลาดทุน
  • เม็ดเงินลงทุนเทคโนโลยีจีนแตะ 51,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • Fed ขึ้นดอกเบี้ยตามคาด 0.25%
  • ดัชนีเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณดีเดือนกุมภาพันธ์
  • HSBC ซื้อที่ดินทำเลานจ์ในโลกเมตาเวิร์ส
  • Google เข้าซื้อกิจการแว่น AR และ VR ลุยธุรกิจเมตาเวิร์ส
  • 93% ของบริษัทเทคโนโลยีเตรียมลงทุนใช้คลาวด์ภายใน 5 ปี
  • George Soros ซื้อหุ้น Rivian ผู้ผลิต EV มูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • คาดส่งออกอินเดียทะลุ 400,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ไปติดตามกันได้เลย


Jitta Wealth

Exclusive Q&A with CEO ประจำเดือนมีนาคม 2565

Webinar จาก Jitta Wealth ที่ให้คุณได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์อย่างใกล้ชิด หากคุณสนใจสร้างความมั่งคั่งผ่านกองทุนส่วนบุคคล อยากจะเริ่มต้นลงทุน แต่ยังไม่มั่นใจ สถานการณ์ตลาดหุ้นตอนนี้เป็นใจหรือไม่

วันที่ 27 มีนาคม 2565

เวลา 14:00 น.

ลงทะเบียน


เศรษฐกิจจีน 

ตลาดหุ้นจีนพุ่งแรง หลังรัฐบาลจีนประกาศหนุนตลาดทุน 

ทันทีที่ทางการจีนประกาศสร้างเสถียรภาพตลาดหุ้นเมื่อวันพุธที่ 16 มีนาคม ดัชนี Hang Seng China Enterprises Index (CEI) ในตลาดหุ้นฮ่องกงปิดในแดนบวกวันเดียวกัน +12.5% นับเป็นขาขึ้นสูงที่สุด นับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2551

ส่วนดัชนี CSI300 ที่รวมหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ จากตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น บวกแรงไม่แพ้กัน ปิดตลาดในวันเดียวกันที่ +4.32% และอยู่ในแดนบวกต่อเนื่องจนปิดสัปดาห์

ทั้งๆ ที่วันที่ 15 มีนาคม ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงปิดในแดนลบ แบบดิ่งแรง จนนักลงทุนทั่วโลกที่มีพอร์ตหุ้นจีนยังตั้งคำถามเลยว่า เกิดอะไรขึ้น และอาจจะคิดถึงขั้น ขายหุ้นจีนทิ้งดีหรือไม่ 

อย่างที่รู้กัน ดัชนีตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงได้รับแรงกดดันมาตลอดทั้งปี 2564 จากมาตรการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีของรัฐบาลจีน และความกังวลต่อบริษัทจีนที่จะถูกเพิกถอนออกจากสหรัฐฯ 

ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงตอบรับในเชิงบวก จากการประกาศช่วยเหลือของทางการจีนในด้านต่างๆ ซึ่งสรุปมาได้ 4 ข้อหลัก ดังนี้

  1. การสร้างเสถียรภาพตลาดทุน
  2. การสนับสนุนบริษัทจีนจดทะเบียนในต่างประเทศ
  3. การแก้ปัญหาลดความเสี่ยงภาคอสังหาริมทรัพย์
  4. การสิ้นสุดมาตรการควบคุมบริษัทเทคโนโลยี 

ถึงแม้มาตรการต่างๆ จะมีรายละเอียดที่ยังไม่ชัดเจนนัก แต่บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง คลายความกังวลมากขึ้นและตอบสนองเชิงบวก 

สำหรับประเด็นความเสี่ยงที่จะถูกเพิกถอนจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ รัฐบาลจีนได้ส่งตัวแทนเพื่อหารือกับสหรัฐฯ เพื่อแก้ปัญหานี้ และแสดงความจริงใจในการแก้ปัญหาตามที่สหรัฐฯ เรียกร้อง และเป็นการสนับสนุนการบริษัทจีนในตลาดหุ้นต่างประเทศอีกด้วย

หากคุณมีพอร์ตลงทุนหุ้นจีนกับ Jitta Wealth ไม่ว่าจะเป็น Jitta Ranking และ Thematic คุณอาจจะมีคำถามในใจ ว่า ทำไมตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงถึงเป็นขาลงมาตลอด เมื่อไรจะกลับมาเป็นขาขึ้น หรือคุณควรจะขายหุ้นจีนเสียทีดีไหม 

จริงๆ คุณมีสิทธิ์จะตระหนักถึงภาวะเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพียงแต่ก่อนจะตัดสินใจปรับพอร์ตหรือขายหุ้นและ ETF ที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง คุณได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่า สินทรัพย์ในพอร์ต ไม่มีแนวโน้มเติบโตอีกต่อไป

หากคุณตัดสินใจขายหุ้นและ ETF เพียงเพราะว่า ตลาดหุ้นเป็นขาลงตามภาวะอารมณ์ต่างๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพื้นฐานของสินทรัพย์ในพอร์ต นอกจากคุณต้องยอมรับผลขาดทุนจริงแล้ว คุณอาจจะยอมรับกับการขายหมู เพราะราคาสินทรัพย์กลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง

ถ้าคุณตัดสินใจขายหุ้นจีนในวันที่ 15 มีนาคม แต่ 16 มีนาคม ทางการจีนออกแถลงการณ์สนับสนุนและรักษาเสถียรภาพตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง และตลาดหุ้นขานรับเชิงบวก คุณอาจจะรู้สึกว่า รู้งี้ไม่ขายเสียจะดีกว่า

เพราะจริงๆ แล้ว ไม่มีใครรู้หรอกว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นทั่วโลก วันดีคืนดีรัฐบาลของแต่ละประเทศ จะออกมาตรการอะไรออกมา หรือจะมีปัจจัยไม่คาดฝันใดๆ มากระทบกับตลาดหุ้น

ถ้าคุณมั่นใจในโอกาสเติบโตของหุ้นและ ETF ในตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง มีมุมมองและเป้าหมายต่อการลงทุนตามระยะเวลาที่คุณได้วางแผนไว้ คุณทำแค่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพิจารณาว่า ยังเชื่อมั่นในสินทรัพย์ที่คุณลงทุนอยู่หรือไม่

Jitta Wealth มองว่า ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงจะมีแนวโน้มเติบโตหลังจากนี้ หากทางการจีนมีมาตรการดูแลที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ จะทำให้ 2 ตลาดหุ้นนี้ กลับมารีบาวด์ได้อีกครั้ง และช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั่วโลกอีกด้วย 

เม็ดเงินลงทุนเทคโนโลยีจีนแตะ 51,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

รัฐมนตรีคลังจีน รายงานว่า มูลค่าเงินลงทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีนในปี 2564 สูงถึง 51,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยรัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือบริษัทเทคโนโลยีจีนที่ได้รับผลกระทบจากการแบนของสหรัฐฯ

รัฐบาลจีนให้คำมั่นว่า จะยกระดับและพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นเมกะเทรนด์อย่างเมตาเวิร์ส บล็อกเชน และ AI รวมไปถึงการพัฒนาซูเปอร์คอมพิวเตอร์ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง

Semiconductor Manufacturing International (SMIC) บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของจีน ตั้งเป้าหมายลงทุนในสินทรัพย์ถาวรกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากเดิม 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2564 

การลงทุนในครั้งนี้ส่งผลให้ SMIC สามารถขยายกำลังการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ 130,000-180,000 แผ่นต่อเดือน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนชิปของโลกให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี เน้นย้ำในการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ถึงแม้ว่าจะยังมีอุปสรรคในการเติบโตอยู่บ้าง แต่ในระยะยาวอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีน น่าจับตามองเป็นอย่างมาก


หุ้นจีน

บทเรียนแสนแพงของการลงทุนหุ้นจีน

ท่ามกลางความกังวลของนักลงทุนทั่วโลกที่มีพอร์ตหุ้นจีนอยู่ ตลาดหุ้นก็ดูไม่เป็นใจมาตลอดปี 2564  พอทางการจีนประกาศหนุนตลาดทุน ราคาหุ้นและ ETF เด้งขานรับทันที ใครที่กลั้นใจขายขาดทุนไปแล้ว คงได้แต่บอกว่า…รู้งี้

อ่านต่อ


เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา

Fed ขึ้นดอกเบี้ยตามคาด 0.25%

ภายหลังจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% และส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอีก 6 ครั้งในปี 2565 

เดิมดอกเบี้ยของ Fed อยู่ที่ 0.00-0.25% ดังนั้นการปรับขึ้นครั้งล่าสุด จะทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 0.25-0.50% หาก Fed บอกว่า จะขึ้นอีก 6 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ซึ่งเป็นอัตราพื้นฐานที่ธนาคารกลางทั่วโลกใช้กัน จะทำให้ปลายปี 2565 อัตราดอกเบี้ย Fed จะอยู่ที่ 1.75%-2.00%

ส่วนปี 2566 Fed อาจจะขึ้นอีก 3-4 ครั้ง จะทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ประมาณ 2.50-3.00% และปี 2567 Fed อาจจะคงดอกเบี้ยไว้ แต่ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในอีก 2 ปีข้างหน้า

Jerome Powell บอกว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นทิศทางที่ Fed ต้องทำในช่วงเวลานี้ เนื่องจากต้องควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น 

Kathy Bostjancic หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แห่ง Oxford Economics บอกว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในครั้งนี้เป็นสัญญาณกระตุ้นให้ตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกตระหนักว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องให้ความสนใจกับการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ 

เธอบอกอีกว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลที่ Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อยุติปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่ได้กังวลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในครั้งนี้ เนื่องจากรับรู้ไทม์ไลน์ของ Fed มาโดยตลอด ซึ่งเป็นการบรรเทาความผันผวนจากนโยบายการเงินในภาพรวม และส่งสัญญาณว่า Fed จะดูแลภาพรวมเศรษฐกิจได้

สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2565 Fed ปรับลดคาดการณ์ อยู่ที่ +2.8% ส่วนในปี 2566 และ 2567 ตัวเลข GDP จะโตช้าลง เหลือ +2.2% และ +2.0% ตามลำดับสะท้อนว่า แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งอยู่ และยังขยายตัวได้อีก ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการบริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ดัชนีเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณดีเดือนกุมภาพันธ์

Conference Board หน่วยงานวิจัยเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รายงานว่า ดัชนี LEI (Leading Economic Index) เพิ่มขึ้นเป็น 119.9 จุดในเดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้น +0.3% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นมาตรวัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในอนาคต แต่ถ้าเทียบกับเดือนมกราคม ดัชนีปรับตัวลดลงเล็กน้อย -0.5%

Ataman Ozyildirim ผู้อำนวยการอาวุโสวิจัยเศรษฐกิจ บอกว่า ดัชนี LEI เดือนล่าสุดยังไม่ได้สะท้อนถึงผลกระทบจากความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครน แต่อาจส่งผลให้ดัชนี LEI ของสหรัฐฯ ลดลงได้ในช่วงครึ่งปีแรก แต่ยังมั่นใจในการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คึกคัก หลังจาก Covid-19

อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลเกิดขึ้นจากนักเศรษฐศาสตร์บางกลุ่ม มองว่า นโยบายการเงินของ Fed อาจจะส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2566 ซึ่งทาง Powell ได้ออกมาตอบโต้คำถามนี้ว่า Fed มีเครื่องมือในการคำนวณอัตราเงินเฟ้อ โดยไม่ทำให้เศรษฐกิจถดถอย

เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอยู่ ถึงแม้จะประสบกับแรงกดดันต่างๆ มากมาย แต่หลักการลงทุนระยะยาวนั้น จะช่วยให้คุณผ่านพ้นทุกเหตุการณ์ได้อย่างแข็งแกร่งได้


Thematic ETF

ศึกคนชน AI by Fun Manager X Jitta Wealth Ep. 03 หนีเสือปะจระเข้

รีวิวพอร์ต Thematic DIY กับ Thematic Optimize โดยเพจ Fun Manager ปรับพอร์ตไปแล้ว ก็ต้องยอมแพ้กับสถานการณ์ทั่วโลก ไม่ว่าจะสงคราม แรงเทขายหุ้นเติบโต และ Fed ขึ้นดอกเบี้ย มาดูกันว่า เขามีมุมมองรับมืออย่างไร

อ่านต่อ


เมตาเวิร์ส 

HSBC ซื้อที่ดินทำเลานจ์ในโลกเมตาเวิร์ส 

ธนาคาร HSBC เตรียมตัวเข้าสู่โลกเมตาเวิร์ส โดยร่วมมือกับ The Sandbox บริษัทด้านบล็อกเชนและเมตาเวิร์ส ซึ่ง HSBC จะเข้าซื้อที่ดินบางส่วนบน The Sandbox เพื่อพัฒนาวงการกีฬา เกม และฐานแฟนคลับ แต่แผนนี้ยังไม่ถูกเผยแพร่ออกมาเต็มรูปแบบ

Suresh Balaji หัวหน้าฝ่ายการตลาดประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บอกว่า ธนาคารมองเห็นศักยภาพการเติบโตและโอกาสในการสร้างประสบการณ์รูปแบบใหม่ สร้างภาพจำของแบรนด์ ผ่านแพลตฟอร์ตดิจิทัลที่กำลังเติบโตด้วย 

ไม่ใช่แค่ HSBC ที่มาเป็นพาร์ตเนอร์ร่วมกับ The Sandbox แต่ยังมีแบรนด์ชั้นนำมากมายที่เริ่มเดินทางเข้าสู่โลกเสมือนจริง ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เนม Gucci ค่ายเพลง Warner Music ซีรีส์ The Walking Dead นักร้อง Snoop Dogg และแบรนด์ Adidas 

นอกจากนี้สถาบันการเงิน JPMorgan ก็ก้าวเข้าสู่เมตาเวิร์สไปเป็นที่เรียบร้อยกับการเข้าซื้อที่ดินบนพอร์ตฟอร์ม Decentraland สำหรับเลานจ์ให้แก่ลูกค้า 

หากคุณกำลังมองหาโอกาสเข้าลงทุนในโลกเสมือนจริง Jitta Wealth ได้เพิ่มธีมเมตาเวิร์ส ลงทุนใน Roundhill Ball Metaverse ETF (METV) ที่มีมากกว่า 45 บริษัทเทคโนโลยี ที่ลงทุนหรือมีธุรกิจพร้อมรับเมกะเทรนด์เมตาเวิร์ส 

Google เข้าซื้อกิจการแว่น AR และ VR ลุยธุรกิจเมตาเวิร์ส 

Raxium ผู้ผลิตแว่น AR และ VR ถูกเข้าซื้อกิจการโดย Google พร้อมลุยธุรกิจเมตาเวิร์ส แต่ไม่ได้ระบุถึงมูลค่าการเข้าซื้อในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการกลับมาของแว่นตา AR และ VR ของ Google หลังจาก Google Glass ไม่ได้รับความนิยมในปี 2556

ในขณะที่คู่แข่งรายสำคัญอย่าง Apple และ Meta ได้ซุ่มพัฒนาแว่นตา AR และ VR เช่นกัน โดย Apple พัฒนาแว่นตา AR รุ่นที่ 2 แล้ว และคาดว่าจะวางขายในปี 2567

Bloomberg Intelligence ประเมินการเติบโตของตลาดเมตาเวิร์ส อยู่ที่ 478,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2563 และมีโอกาสเติบโตขึ้นไปถึง 783,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 ตอนนี้บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ กำลังซุ่มแข่งกันพัฒนาอุปกรณ์และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเมตาเวิร์ส เพื่อตอบสนองความต้องการผู้ใช้งานในอนาคต


หุ้นเมตาเวิร์ส

รู้จัก Thematic ETF ‘หุ้นเมตาเวิร์ส’ กับ METV

รู้จัก Thematic ETF ธีมเมกะเทรนด์ ‘หุ้นเมตาเวิร์ส’ ธีมใหม่ล่าสุด กับ METV ETF พร้อมให้คุณจัดพอร์ตได้เลย พร้อมส่อง 5 บริษัทไส้ใน เป็นบิ๊กเทคของโลก มีรายได้และกำไรเติบโตสูง 

อ่านต่อ


คลาวด์

93% ของบริษัทเทคโนโลยีเตรียมลงทุนใช้คลาวด์ภายใน 5 ปี

จากการสำรวจของ Hornetsecurity ผู้ให้บริการคลาวด์ พบว่า บริษัทเทคโนโลยีกว่า 900 แห่งในยุโรปและสหรัฐฯ จะเปลี่ยนมาใช้คลาวด์เต็มรูปแบบในองค์กร ปัจจุบันหลายๆ องค์กรยังใช้แบบผสมผสานระหว่าง On Cloud และ On Premise อยู่

ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 29% บอกว่า อุปสรรคการในการใช้คลาวด์มาจากกฎระเบียบ เช่น GDPR (General Data Protection Regulation) HIPAA (Health Insurance Portability and Accountability Act) และ CMMC (Cybersecurity Maturity Model Certification) 

สำหรับอีก 48% บอกว่า ความรู้และความเข้าใจของพนักงานยังเป็นอุปสรรคในการใช้งานคลาวด์ขององค์กร

อย่างไรก็ตาม ทีมที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับคลาวด์ อย่างพนักงาน IT ในสัดส่วน 47% จาก 900 บริษัท เชื่อว่า องค์กรจะใช้งานคลาวด์มากขึ้นภายใน 5 ปี และมีโอกาสที่จะใช้งาน On Cloud เต็มรูปแบบ เพื่อรองรับข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา

ผลสำรวจจะแสดงให้เห็นว่า หลายๆ องค์กรมีความกังวลในการใช้ระบบคลาวด์ โดยเฉพาะเรื่องความน่าเชื่อถือและความปลอดภัย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า คลาวด์จะเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างแน่นอน สำหรับบริษัทเทคโนโลยีในอีก 5 ปีข้างหน้า

ธุรกิจคลาวด์ยังมีช่องว่างที่จะเติบโตได้อีกมาก รวมไปถึงธุรกิจไซเบอร์ซีเคียวริตี เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญให้กับทุกๆ องค์กรในการรักษาความปลอดภัยในโลกดิจิทัล โดยเป็น 2 ธีมที่น่าสนใจที่ Jitta Wealth เปิดให้ลงทุนในกองทุนส่วนบุคคล Thematic


Jitta Wealth

ลงทุน Global ETF และ Thematic เริ่มต้น 50,000 บาท

ฉลองครบรอบ 10 ปี Jitta แพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้นที่นักลงทุนใช้กันทั่วโลก และเจ้าของ Jitta Wealth ผู้บริหารกองทุนส่วนบุคคลมากที่สุดในไทย ให้คุณจัดพอร์ตลงทุน ETF ทั่วโลก ด้วยเงินลงทุนหลักหมื่นเท่านั้น

อ่านรายละเอียดแคมเปญพิเศษ ยกเว้นค่าธรรมเนียมผู้รับฝากทรัพย์สิน

เปิดบัญชีลงทุน Global ETF และ Thematic


พลังงานสะอาด

George Soros ซื้อหุ้น Rivian ผู้ผลิต EV มูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Soros Fund Management เข้าซื้อหุ้น Rivian Automotive ค่ายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มูลค่ากว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสัดส่วนการลงทุนสูงถึง 30% และกลายเป็นหุ้นที่มีสัดส่วนมากที่สุดในพอร์ตของกองทุนทันที

ปัจจุบันพอร์ตของ Soros Fund มีมูลค่ารวม 6,770 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และด้วยเมกะเทรนด์ที่มาแรงอย่าง EV ทำให้ค่ายรถ Rivian ถูกจับตามองจาก Soros Fund ให้เข้าถือหุ้น ซึ่ง Rivian จะเน้นผลิตรถกระบะไฟฟ้า ซึ่งส่งมอบได้กว่า 2.8 ล้านคัน 

พลังงานสะอาดเป็นธีมเมกะเทรนด์ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย EV ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรัฐบาลหลายๆ ประเทศยังให้การสนับสนุนการใช้ EV ด้วยสิทธิประโยชน์ต่างๆ

กองทุนส่วนบุคคล Thematic เปิดให้จัดพอร์ตในธีมพลังงานสะอาด (ทั่วโลก) พลังงานสะอาดจึน และลิเธียมและแบตเตอรี ตอนนี้ Jitta Wealth มีให้เลือกลงทุนมากถึง 23 ธีมเลย


หุ้นแตกพาร์ หุ้นปันผล

หุ้นแตกพาร์ หุ้นปันผลคืออะไร ส่งผลต่อมูลค่าพอร์ตอย่างไร 

เมื่อราคาหุ้นตกลง แต่จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น และมูลค่าพอร์ตเท่าเดิม มันเกิดอะไรขึ้น พอร์ตจะกลับมาเป็นปกติหรือไม่ แล้วคุณต้องทำอะไรไหม ทีมงานได้รวบรวม Corporate Action ต่างๆ และวิธีรับมือของ Jitta Wealth หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น 

อ่านต่อ


เศรษฐกิจอินเดีย

คาดส่งออกอินเดียทะลุ 400,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

รัฐมนตรีพาณิชย์แถลงมูลค่าส่งออกอินเดียแตะ 390,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจนถึงวันที่ 14 มีนาคม โดยคาดว่า มูลค่าส่งออกปีงบประมาณ 2564-2565 (จบสิ้นเดือนมีนาคม) ทะลุ 400,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

การส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์เติบโตสูงกว่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นผลมาจากการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศ โดยกระทรวงพาณิชย์ได้กระตุ้นให้ผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนามากขึ้น เพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้า

ปีงบประมาณ 2563-2564 มูลค่าการส่งออกอินเดียอยู่ที่ 323,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากปีงบประมาณนี้ อินเดียสามารถเพิ่มมูลค่าการส่งออกเกิน 400,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะเติบโตสูงถึง +23.8% 

อย่างไรก็ตาม อินเดียมีการบริโภคในประเทศสูง ส่งผลให้มูลค่านำเข้ามากกว่ามูลค่าส่งออก แต่จำนวนการส่งออกที่เพิ่มขึ้นแสดงให้เห็นความสามารถการผลิตสินค้าของอินเดีย รวมไปถึงความต้องการสินค้าที่มากขึ้นทั่วโลก

อินเดียเป็นอีกประเทศที่มีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสูงในปี 2564 ทำให้ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกให้เข้ามาลงทุน และเป็นธีมตลาดหุ้นที่น่าสนใจของกองทุนส่วนบุคคล Thematic


Jitta Wealth

สงครามปะทุ เงินเฟ้อทะลุ เฟดขึ้นดอกเบี้ย?! จัดการสินทรัพย์ยังไง

คุณเผ่า ตราวุทธิ์ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการ TNN Wealth Guide หากคุณอยากรู้ว่า Jitta Wealth มีมุมมองอย่างไรในความไม่แน่นอนเหล่านี้ บริหารจัดการสินทรัพย์อย่างไร และเคล็ดลับที่ทำให้ Jitta กลายเป็นสตาร์ตอัปที่เติบโตมาได้ถึง 10 ปี 

รับชมย้อนหลัง 


Jitta และ Jitta Wealth

1 ทศวรรษ กว่าจะเป็นฟินเทคไทย Jitta และ Jitta Wealth

รวบรวมทุกย่างก้าวของสตาร์ตอัปฟินเทค สัญชาติไทย Jitta และ Jitta Wealth จากการพัฒนาเทคโนโลยีวิเคราะห์หุ้นพื้นฐานดีทั่วโลก สู่การเป็นบลจ. บริหารกองทุนส่วนบุคคลมากที่สุดในไทย

อ่านต่อ


นี่คือ 9 ข่าวสารทั่วโลกที่ทีมงานสรุปมาให้คุณใน Jitta Wealth Journal ประเด็นร้อนแรงยังคงเป็นสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ส่งผลต่อภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกและราคาน้ำมัน

ล่าสุดทางการจีนออกนโยบายสนับสนุนและรักษาเสถียรภาพตลาดหุ้นจีน รวมไปถึงฮ่องกง น่าจะเป็นสัญญาณที่ดี หลังจากที่ทั้ง 2 ตลาดหุ้นเป็นขาลงมานานกว่า 1 ปี ทั้งๆ ที่งบการเงินของบริษัทไม่ได้แย่ลงเลย

เหมือนที่คุณตราวุทธิ์ เคยพูดหลายๆ ครั้งว่า รัฐบาลจีนไม่มีทางทุบหม้อข้าวตัวเอง ด้วยการปิดกั้นการทำธุรกิจ ยิ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปีของจีน รัฐบาลจะไม่ทำให้บริษัทเหล่านี้ล้มหายตายจากอย่างแน่นอน

เพราะรัฐบาลจีนต้องการเพียงเวลาในการออกกฎระเบียบที่ชัดเจน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขัน ทุกๆ บริษัท รวมไปถึงสตาร์ตอัปจีนสามารถเข้าถึงการทำธุรกิจ และให้ประโยชน์สูงสุดตกไปถึงผู้บริโภคชาวจีน 

แล้วพบกันสัปดาห์หน้า


อ่าน Jitta Wealth Journal ย้อนหลัง

Jitta Wealth Journal – ถ้าดัชนี S&P500 เป็นขาลง จะเพิ่มทุนหรือไม่

Jitta Wealth Journal – 5 ฉากจบสงครามรัสเซีย-ยูเครน

บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด
1111/9-10 ถนนลาดพร้าว แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900



สงวนลิขสิทธิ์ © 2024 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด
เนื้อหาทั้งหมดบนเว็บไซต์นี้จัดทำขึ้นโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด (“Jitta Wealth”) ผู้บริหารจัดการบัญชีกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth ที่ได้รับใบอนุญาตบริหารจัดการกองทุนประเภท ค เลขที่ ลค-0105-01 และดำเนินการภายใต้การกำกับ ดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) Jitta Wealth ให้บริการกองทุนส่วนบุคคลสำหรับผู้ลงทุนรายย่อย ที่ต้องการนำเงินมาลงทุนในตลาดทุน โดยใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์หุ้นและกลยุทธ์การลงทุนที่จัดทำโดยบริษัทจิตตะ ดอท คอม จำกัด (“Jitta.com”) บริหารจัดการให้แบบอัตโนมัติ เพื่อผลตอบแทนระยะยาวที่สูงกว่าดัชนีตลาด การลงทุนมีความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียกำไรหรือเงินต้น กลยุทธ์การลงทุนของ Jitta Wealth ใช้ข้อมูลวิเคราะห์หุ้นของ Jitta.com ซึ่งคิดคำนวณจากข้อมูลในอดีต อัตราผลตอบแทน การเปรียบเทียบหรือการจัดอันดับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนบนเว็บไซต์นี้เป็นสมมุติฐานทางสถิติจากข้อมูลที่มี เพื่อใช้ประกอบการอธิบายรายละเอียดบริการเท่านั้น ไม่สามารถใช้รับประกันผลตอบแทนในอนาคตได้ สถานการณ์ในโลกที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะแง่บวกหรือแง่ลบ สามารถส่งผลกระทบ ต่อทั้งอุตสาหกรรมหรือกลุ่มธุรกิจ และอาจทำให้พอร์ตหุ้นที่มีการกระจายความเสี่ยงค่อนข้างมากแล้ว ประสบความผันผวนด้านราคาได้ Jitta Wealth ได้รับอนุญาตให้บริหารจัดการกองทุนเพื่อช่วยผู้ลงทุนบรรลุเป้าหมายด้านการเงินผ่านการ ลงทุนในสินทรัพย์ประเภท หุ้นโดยไม่มีเจตนาแนะนำความเหมาะสมของกลยุทธ์การลงทุนใดๆ แก่ผู้ลงทุน ผู้ลงทุนควรคำนึงถึงเป้าหมายการลงทุนส่วนตัว และค่าธรรมเนียมต่างๆ ของ Jitta Wealth ก่อนลงทุน
“Jitta Wealth” เป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด