ว่ากันว่า…จีนจะเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกปี 2571 เร็วขึ้น 5 ปีจากมุมมองก่อนหน้านี้ที่ Centre for Economics and Business Research (CEBR) คาดการณ์ไว้
สำนักวิจัยจากสหราชอาณาจักร บอกว่า GDP ของจีนจะเติบโตปีละ 5.7% จนถึงปี 2568 และเหลือ 4.5% ต่อปี ช่วง 2569-2573
ประเทศที่จีนกำลังจะล้มแชมป์ คือ สหรัฐฯ โดย CEBR บอกว่า GDP สหรัฐฯ จะโตเพียง 1.9% ช่วงปี 2565-2567 และเหลือ 1.6% หลังจากนั้น [1]
ยกตัวเลขเศรษฐกิจ ปี 2563 แบบเปรียบเทียบหมัดต่อหมัด ระหว่างสหรัฐฯ และจีน พบว่า มูลค่า GDP ของสหรัฐฯ อยู่ที่ 20.93 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เศรษฐกิจจีนอยู่ที่ 14.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
จีนตามหลังสหรัฐฯ แบบหายใจรดต้นคอ เพียงแค่ 6.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ [2]
แต่ถ้าวัดกันที่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ แน่นอนว่า จีนนำมา และมีโอกาสจะแซงสหรัฐฯ ได้ไม่ยาก เหนือสิ่งอื่นใด…จีนยังมีปัจจัยพื้นฐานหลายด้าน ที่เอื้อให้มูลค่าเศรษฐกิจขยายตัวไปได้อีกไกล
ลองอ่านบทความนี้ แล้วคุณจะเชื่อมั่นในศักยภาพของ ‘จีน’ ว่าที่เศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก และนี่อาจจะเป็นโอกาสการลงทุนครั้งสำคัญของคุณ
ความจริงที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก คือ จีนมีความใหญ่ด้วยขนาดและจำนวนประชากร และความยิ่งใหญ่นี้เอง จีนจะปั้นตัวเองพัฒนาประเทศให้เติบโตไปทิศทางไหนก็ได้
ด้วยการเมืองแบบคอมมิวนิสต์พรรคเดียวของจีน เพิ่งเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี การก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจ กลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ [3]
นี่คือ 3 เหตุผลที่ส่งให้จีนกลายเป็นประเทศเกิดใหม่ และกำลังเป็นคู่แข่งอันน่ากลัวของบรรดากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว
จีนมีประชากรมากที่สุดในโลก แม้ปัจจุบันอัตราการเกิดจะลดลง เนื่องจากโครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลงไป แต่ด้วยจำนวนประชากรขนาดนี้ยังสร้างแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อีกมาก
ตัวเลขเศรษฐกิจปี 2563 ระบุว่า สัดส่วนการบริโภคภาคประชาชนคิดเป็น 54.3% ต่อ GDP จีน ลดลงจากสัดส่วน 57.8% ในปี 2562 ชะลอตัวเนื่องจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 [4]
เมื่อดูสัดส่วนการบริโภคย้อนหลัง 10 ปีพบว่า อยู่เฉลี่ย 50-55% มาโดยตลอด เนื่องจากความแตกต่างด้านรายได้ระหว่างประชากรที่อยู่ในเมืองใหญ่กับชนบท [5]
รายงานจาก China-Britain Business Focus พบว่า รายได้เฉลี่ยประชาชนในชนบทยังต่ำกว่าคนที่อยู่ในเมืองมากถึง 61% ในปี 2563 และ 40% ของประชากรจีนยังอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท คิดเป็นสัดส่วน 22% ของการบริโภคภาคประชาชน [6]
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่า การบริโภคภาคประชาชนยังต่ำ ขณะที่ช่องว่างรายได้ระหว่างคนเมืองกับชนบทยังแตกต่างกันมาก
ภาพใหญ่เหล่านี้สะท้อนอะไรบ้าง…
ปัจจุบันจีนเริ่มใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 14 (2564-2568) เป็นแผนที่ทำทุกๆ 5 ปี จีนเริ่มใช้แผนฉบับที่ 1 เมื่อปี 2496 จากนั้นก็เดินหน้าจัดทำแผนอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน [8]
สำหรับแผนฉบับที่ 14 มีจุดเด่นเรื่องยุทธศาสตร์วงจรคู่ (Dual Circulation) เป็นการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในประเทศ ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สนับสนุนการจ้างงาน ปฏิรูปอุปทานในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาเศรษฐกิจจากนอกประเทศ เช่น การส่งออก
ที่มาของแผนปัจจุบัน คือ จีนกำลังถูกสหรัฐฯ และผู้นำโลกคว่ำบาตร ดังนั้นการพัฒนาประเทศ เพื่อให้ยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง เป็นทางออกที่จีนจะรักษาจุดแข็งและความเป็นมหาอำนาจของตัวเองไว้ได้
นอกจากนี้ จีนจะเน้นการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้มีนวัตกรรมทัดเทียมและล้ำหน้ากว่าผู้นำโลก และพัฒนาภาคการเกษตรเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบท โดยจีนมีเป้าหมาย คือ การทำให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวเฉลี่ย 5% ต่อปี ในช่วงระยะเวลา 5 ปี [9]
ด้วยนโยบายที่หนุนให้เกิดการเติบโตภายในประเทศ เน้นสร้างงาน สร้างรายได้ คงต้องมาดูกันว่า จบแผนฉบับที่ 14 ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น จะเป็นไปตามที่รัฐบาลคาดหวังไว้หรือไม่
จุดที่น่าสนใจ คือ พรรคคอมมิวนิสต์จีนเดินหน้าผลักดันประเทศมาต่อเนื่อง 100 ปีแล้ว และกำลังจะก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 2 ดังนั้นเสถียรภาพทางการเมืองจีนมีสูงมาก เป็นเครื่องยืนยันว่า การผลักดันนโยบายใดๆ ไม่ขาดตอนแน่นอน
จีนเดินหน้ากลยุทธ์ Soft Power มาโดยตลอด เช่น การเข้าไปให้ช่วยเหลือ ให้เงินกู้ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานให้ประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนา
แน่นอนว่า การเข้าไปของจีนย่อมต้องได้รับผลประโยชน์ตอบแทนกลับมา อาจจะเป็นการเปิดบริษัทจีนเข้าไปลงทุน หรือนำเข้าสินค้าจากจีน
ตัวอย่างล่าสุด คือ การส่งออกวัคซีนป้องกัน Covid-19 ให้นานาประเทศ มีทั้งบริจาคและเสียเงิน เป็นการพลิกบทบาทเป็นผู้ให้ ใช้แนวทางการทูตวัคซีน ส่งผลให้นานาประเทศมองจีนเป็นมิตรมากขึ้น เช่น ไทย ลาว กัมพูชา [10]
บางครั้งการใช้ท่าทีการทูตแบบแข็งกร้าว กรณีเสริมกำลังทหารและอำนาจเหนือทะเลจีนใต้ อาจจะทำให้นานาประเทศแสดงท่าทีไม่พอใจและไม่ต้อนรับจีนได้
ดังนั้นกลยุทธ์ Soft Power ด้วยวัคซีน และแนวทางอื่นๆ ในอนาคต จะเป็นการส่งเสริมให้การขยายอิทธิพลของจีน อย่างยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative – BRI) ที่ครอบคลุมกว่า 80 ประเทศทั่วโลก ทวีปเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา เป็นไปได้ง่ายขึ้น [11]
‘ตลาดหุ้นจีน’ บนแผ่นดินใหญ่มี 2 แห่ง คือ เซี่ยงไฮ้ (Shanghai Stock Exchange: SSE) กับเซินเจิ้น (Shenzhen Stock Exchange: SZSE)
เนื่องจากเป็นประเทศใหญ่ มีสกุลเงินหลักคือ หยวน แต่ยังมีตลาดหุ้นอื่นๆ นอกแผ่นดินใหญ่ เช่น ฮ่องกงและไต้หวัน ที่เปรียบเสมือนเขตการปกครองพิเศษ ต่างมีสกุลเงินเป็นของตัวเอง
ดังนั้นตลาดหุ้นจีนจึงมีหุ้นหลายกลุ่มและดัชนีอ้างอิงมากมาย รวมทั้งซื้อขายกันหลายสกุลเงินอีกด้วย เช่น A-share (บริษัทจีน ใช้สกุลเงินหยวน) B-share (บริษัทจีน ใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ) H-share (บริษัทจีน ซื้อขายและใช้สกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกง) และ US-ADR (บริษัทจีน ซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ)
Red-chip บริษัทจัดตั้งบริษัทนอกประเทศจีน โดยรัฐบาลจีนจะเป็นผู้ถือหุ้น ส่วน P-chip จัดตั้งบริษัทนอกประเทศจีน แต่เป็นบริษัทเอกชนของจีน ทั้ง 2 กลุ่มนี้ซื้อขายที่ตลาดหุ้นฮ่องกง (HKEX) [12]
อย่างที่เราได้พูดถึงตอนต้น มูลค่าเศรษฐกิจจีนยังตามสหรัฐฯ สำหรับตลาดเงินตลาดทุน มาร์เก็ตแคป ‘ตลาดหุ้นจีน’ เป็นแบบนั้นด้วยเช่นกัน
สหรัฐฯ ยังครองแชมป์โลก ด้วยมาร์เก็ตแคป 40.74 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สิ้นปี 2563 [13]
ความน่าสนใจอยู่ที่ตลาดหุ้นจีน เพราะไต่มาร์เก็ตแคปจนแซงหน้าตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว (Developed Market) ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ฮ่องกง สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมัน และแคนาดา และมาอยู่ที่อันดับ 2 ในฐานะตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market)
สิ้นปี 2563 ตลาดหุ้นจีนมีมาร์เก็ตแคป 12.22 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ราวๆ 28.52 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ [14]
เมื่อมองภาพใหญ่มูลค่าเศรษฐกิจจีนสามารถแซงหน้าสหรัฐฯ ได้ในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากขับเคลื่อนด้วยจำนวนประชากรที่มากกว่าหลายเท่า แต่สำหรับมาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นจีน…ยังตามสหรัฐฯ อีกเกือบ 3 เท่า แม้จะเป็นเบอร์ 2 ของโลกก็ตาม
ด้วยช่องว่างที่ห่างกันมาก กลับเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน…สะท้อนว่า ยังมีหุ้นจีนอีกหลายร้อยตัวที่น่าสนใจ ราคายังต่ำกว่าพื้นฐาน ทำให้มาร์เก็ตแคปยังเล็กมาก เมื่อเทียบกับคุณภาพกิจการที่กำลังโตไปตาม GDP ของประเทศ
ตลาดหุ้นจีนที่ประกอบด้วย SSE และ SZSE มีจำนวนบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 4,154 บริษัท ณ สิ้นปี 2563 [15]
ตลาดหุ้นจีนมีนักลงทุนรายย่อย 177.77 ล้านบัญชี สิ้นปี 2563 เพิ่มขึ้นประมาณ 11.28% จากปีก่อนหน้า [16]
จำนวนบัญชีนักลงทุนรายย่อยคิดเป็นสัดส่วนราวๆ 22% ของมาร์เก็ตแคป สิ้นปี 2563 แต่อีกมากกว่า 70% เป็นบัญชีนักลงทุนสถาบันในประเทศ และน้อยกว่า 10% เป็นบัญชีนักลงทุนต่างชาติ
แต่นักลงทุนรายย่อยยังคงมีสัดส่วนประมาณ 80% ของปริมาณการซื้อขายทั้ง SSE และ SZSE เรียกได้ว่า ยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนต่อตลาดหุ้นจีน [17]
จำนวนบัญชีนักลงทุนรายย่อยของจีนคิดเป็น 12.35% จำนวนประชากรทั้งหมด ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นจีน
ดูความถูกแพงของหุ้นอย่างง่าย…ก็วัดกันที่ค่า Price-to-earnings (P/E) Ratio แบ่งเป็น Trailing P/E Ratio วัดความถูกแพงจากกำไรที่เกิดขึ้นในอดีต ส่วน Forward P/E Ratio วัดความถูกแพงจากกำไรในอนาคตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
สิ้นปี 2563 ตลาดหุ้นจีนมี Trailing P/E Ratio อยู่ที่ 16.39 เท่า ส่วน Forward P/E Ratio อยู่ที่ 13.26 เท่า
นั่นหมายความว่า ปัจจุบันราคาหุ้นจีนก็ไม่ได้แพงมาก ถ้าจะลงทุนระยะยาว ในอนาคต…บริษัทจดทะเบียนในจีนมีศักยภาพทำกำไรให้เติบโตได้ ดังนั้นราคาหุ้นจีนที่ลงทุนอยู่ปัจจุบันมีแนวโน้มคุ้มค่ามากขึ้นในอนาคต
และเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ในช่วงเวลาเดียวกัน หุ้นจีนยังถูกกว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว หรือเทียบกับตลาดหุ้นอินเดียที่อยู่กลุ่มตลาดเกิดใหม่เหมือนกัน ราคาหุ้นจีนก็ยังถูกกว่า [18]
สำหรับ Trailing P/E Ratio สิ้นปี 2563 ตลาดหุ้นทั่วโลก อยู่ที่ 27.03 เท่า ตลาดหุ้นพัฒนาแล้วอยู่ที่ 28.86 เท่า และตลาดหุ้นเกิดใหม่อยู่ที่ 21.26 เท่า [19]
ตลาดหุ้นจีนก็ยังถูกกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นทั่วโลก…
เมื่อดูจากค่า P/E Ratio แล้ว สรุปได้ว่า บริษัทจีนมีโอกาสที่จะทำกำไรได้เพิ่มขึ้นจากพื้นฐานปัจจุบันนั่นเอง ถ้าจะเข้าลงทุน ราคาหุ้นก็ยังไม่แพง ยิ่งเป็นการลงทุนระยะยาว ก็ทำให้คุณมีโอกาสได้หุ้นราคาถูกไว้ในมือ รอให้เติบโตในอนาคต
หากคุณเห็นศักยภาพของ ‘จีน’ ในฐานะประเทศเศรษฐกิจใหญ่ พร้อมผงาดเป็นเบอร์ 1 ในอนาคตอันใกล้ และ ‘ตลาดหุ้นจีน’ มาร์เก็ตแคปเบอร์ 2 มวยรองที่ราคาหุ้นยังถูกกว่าค่าเฉลี่ยตลาดทั่วโลก
โอกาสจัดพอร์ตลงทุนระยะยาวของหุ้นจีนอยู่ในมือคุณแล้ว ผ่านกองทุนส่วนบุคคล ‘Jitta Ranking จีน’ ที่จะพาคุณไปลงทุน ‘หุ้นดีราคาถูก’ ในกลุ่ม A-share ของตลาดหุ้น SSE และ SZSE ผ่านระบบ China-Hong Kong Stock Connect
หุ้นแต่ละตัวได้ผ่านการคัดเลือกจาก AI และอัลกอริทึมของ Jitta วิเคราะห์จากงบการเงินและกระแสเงินสดจากกว่า 1,400 หุ้น คัดมาเป็นหุ้นคุณค่า (Value Stock) ที่ราคาต่ำกว่าพื้นฐาน แต่กิจการคุณภาพดี มีโอกาสเติบโต มาจัดพอร์ตให้คุณ 5-20 หุ้น
อยากรู้ว่า Jitta Ranking จีน ลงทุนหุ้นกลุ่มไหนบ้าง อ่านบทความ ‘Jitta Ranking จีน’ เลือกหุ้น VI ให้คุณอย่างไร พอร์ตจึงไปได้ไกลกว่า
หากคุณเป็นนักลงทุนสาย VI (Value Investing) แต่ไม่มีเวลาศึกษาหรืออ่านงบการเงินหลายๆ บริษัท ลองมาศึกษาแนวทางการจัดพอร์ตได้ที่ https://jittawealth.com/jitta-ranking/china หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพื่อเปิดบัญชี ได้ที่ https://link.jittawealth.co/DL9udlfRBhb
สอบถามเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนที่ Line @JittaWealth
กองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth บริหารจัดการโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด ซึ่งเป็น WealthTech แห่งแรกของไทยที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง กำกับโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ใบอนุญาตเลขที่ ลค-0105-01
ผลตอบแทนในอดีต ไม่สามารถการันตีผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจนโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนต่างประเทศอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน