ล่าสุดกรมสรรพากรมีประกาศเกี่ยวกับภาษีเงินได้ต่างประเทศ (คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.161 และ ป.162) และมีคำถาม – คำตอบ เรื่อง การเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร โดยมีใจความสำคัญที่เกี่ยวกับนักลงทุน Jitta Wealth เพื่อทำความเข้าใจดังนี้
ดังนั้น สำหรับนักลงทุน Jitta Wealth ที่มีการลงทุนก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 จะมีแนวทางจัดการภาษีดังนี้
กรณีที่ 1: พอร์ตการลงทุนมีกำไร
ตัวอย่าง: นาย A เริ่มลงทุนใน Jitta Ranking – US เป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาท ในปี 2563 และพอร์ตการลงทุนเติบโตขึ้นเป็น 2,000,000 บาท ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2566 โดยในตลอดระยะเวลาที่ลงทุนมานั้น Jitta Wealth ปรับพอร์ตการลงทุนทุกๆ 3 เดือน เมื่อมีกำไรจากการขายหุ้นหรือปันผล ก็จะนำเงินนั้นไปลงทุนซื้อหุ้นใหม่ต่อไปเรื่อยๆ
ซึ่งพอร์ตของนาย A ปรับพอร์ตครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2566 ทำให้ ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน พอร์ตการลงทุนของนาย A มีหุ้นอยู่ 10 หุ้น โดยมีหุ้นที่กำไรอยู่ 7 หุ้น รวมเป็นเงินกำไร 100,000 บาท
ดังนั้น จากเกณฑ์การคิดภาษีแบบใหม่ นาย A จะมีภาระทางภาษี ในกรณีที่โอนเงินเข้ามาหลังวันที่ 1 มกราคม 2567 ดังนี้
โดยสรุป นาย A สามารถลงทุนต่อไปเรื่อยๆ ได้อย่างสบายใจ และ หลังวันที่ 1 มกราคม 2567 นาย A สามารถถอนเงินลงทุนกลับมาได้ 1,900,000 บาท โดยที่ไม่เสียภาษี โดยจะโอนเงินจำนวนนี้กลับมาในประเทศไทยครั้งเดียวเลย หรือ หลายๆ ครั้งก็ได้
ส่วนกำไรที่ยังไม่รับรู้จำนวน 100,000 บาทนั้น ต้องไปดู ณ วันที่ขายอีกทีว่า จะมีกำไรขาดทุนเท่าไหร่ จึงจะค่อยนำมาคำนวณเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษี ในกรณีที่มีการนำเงินจำนวนนี้กลับเข้ามาในประเทศไทย หลัง 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป
กรณีที่ 2 : พอร์ตการลงทุนขาดทุน
ตัวอย่าง: นาย B เริ่มลงทุนใน Thematic Optimize เป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาท ในปี 2564 และพอร์ตการลงทุนขาดทุนจากการที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีตกอย่างหนักในปี 2565 ทำให้ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนของนาย B มีมูลค่า 800,000 บาท ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2566
ดังนั้น ปัจจุบันนาย B ยังไม่มีเงินได้จากการลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากเงินลงทุนในปัจจุบันน้อยกว่าเงินต้นที่โอนออกไปลงทุนอยู่ 200,000 บาท
ถ้าหากนาย B ลงทุนต่อไปเรื่อยๆ นาย B จะมีภาระทางภาษีก็ต่อเมื่อ พอร์ตการลงทุนกลับมาเติบโตมากกว่าเงินต้น 1,000,000 บาท มีการขายพอร์ตลงทุนและนำเงินกลับเข้ามาในประเทศไทยหลังวันที่ 1 มกราคม 2567 จึงจะเสียภาษีในส่วนเงินกำไรที่เกิน 1,000,000 บาท
แต่ถ้าหากนาย B ทำการขายและโอนเงินกลับเข้ามาในประเทศไทยในปี 2566 จำนวน 800,000 บาท แม้ว่าจะไม่เสียภาษี แต่เมื่อไหร่ที่นาย B ทำการโอนเงินจำนวน 800,000 บาทนี้ กลับไปลงทุนในต่างประเทศใหม่อีกครั้ง จะถือว่าเงินต้นที่โอนออกไปลงทุนใหม่คือ 800,000 บาท ถ้าหากว่าพอร์ตเติบโตขึ้น นาย B จะเสียภาษีในส่วนที่เกิน 800,000 บาททันที เมื่อทำการขายพอร์ตลงทุนและนำเงินกลับเข้ามาในประเทศไทยหลังวันที่ 1 มกราคม 2567
ดังนั้นจะเห็นว่าสำหรับนักลงทุนที่ตั้งใจจะลงทุนในต่างประเทศระยะยาวอยู่แล้ว ในพอร์ตการลงทุนที่ยังขาดทุนอยู่ เราไม่ควรที่จะถอนเงินกลับเข้ามาในประเทศไทยในปีนี้ แล้วโอนออกไปลงทุนต่างประเทศใหม่ในอนาคต เพราะการทำแบบนั้นจะทำให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของเราลดลง เทียบกับ การที่เราลงทุนต่อไปในต่างประเทศ จะในประเทศเดิม หรือ ประเทศใหม่ก็ได้ จะทำให้เราได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมากกว่า
สำหรับการลงทุนที่เกิดขึ้นหลัง 1 มกราคม 2567
กำไรจากการลงทุน หรือเงินได้พึงประเมินหลังวันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ในส่วนที่มากกว่าเงินต้นที่โอนออกไป เมื่อนำกลับเข้ามาในประเทศไทย (ไม่ว่าจะปีภาษีใดก็ตาม) จะต้องนำไปยื่นภาษี แต่หากการลงทุนในต่างประเทศมีการเสียภาษีการลงทุนของแต่ละประเทศไว้แล้ว สามารถนำมาเครดิตภาษีคืนได้ อีกทั้งหากถอนเงินและนำเงินไปลงทุนต่อโดยไม่นำเงินกลับเข้าไทย ผู้ลงทุนจะสามารถวางแผนการลงทุนและวางแผนเกี่ยวกับการจัดการภาษีได้อย่างเหมาะสม บนหลักเกณฑ์ปัจจุบันหรือหลักเกณฑ์ในอนาคต หากเปลี่ยนแปลงหรือมีความชัดเจนที่มากขึ้น
ทั้งนี้ หากกรมสรรพากรมีประกาศใหม่ในอนาคต อาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือมีผลกระทบกับรายละเอียดข้างต้นได้ จึงแนะนำติดตามการอัปเดตจาก Jitta Wealth และ การประกาศจากกรมสรรพากรอย่างใกล้ชิด
ทาง Jitta Wealth ขอให้นักลงทุนทุกคนมีความเชื่อมั่นและสบายใจในเรื่องนี้ ไม่ว่าในอนาคตจะมีปรับปรับเปลี่ยนเกณฑ์ต่างๆ อย่างไร เราพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างนักลงทุน เพื่อคอยอัปเดตและนำเสนอแนวทางจัดการภาษีจากการลงทุนต่างๆ ให้ถูกต้อง และเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับนักลงทุนเสมอครับ
เพื่อเป็นการให้ข้อมูลอย่างละเอียดมากขึ้นแก่นักลงทุน Jitta Wealth เกี่ยวกับการเสียภาษีเงินได้จากการลงทุนต่างประเทศ Jitta Wealth จึงจัดให้มีการ Live ผ่านช่องทาง Youtube @JittaWealth และ Facebook @JittaWealth ในวันพุธที่ 29 พฤศจิกายน 2566 เวลา 18:00 น
หมายเหตุ: