ตลาดหุ้นไทยที่ดิ่งตัวลงแบบไม่เกรงใจใคร ตั้งแต่ต้นปีปรับลดลงมาอยู่ที่ 1381.83 จุด ลดลง -17.70% (31 ต.ค. 2566) ทำเอานักลงทุนหลายรายถึงกับนั่งไม่ติด แต่สำหรับพอร์ต คุณธนพร ไขรัศมี นักคณิตศาสตร์ประกันภัย บริษัทไทยประกันชีวิตที่ลงทุนใน Jitta Ranking หุ้นไทย มาตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค. 2563 ตลอด 3 ปีเศษผ่านมาถึงวันที่ 31 ต.ค. 2566 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับเพิ่มขึ้นเพียง 12.24% แต่ในช่วงเวลาเดียวกันพอร์ตของคุณธนพร กลับสร้างผลตอบแทนได้ถึง 48.93%
วันนี้เราจะพาไปศึกษาเคล็ดลับการลงทุนที่คุณธนพรสร้างให้พอร์ตเติบโตได้เกือบ 50% ในช่วงเวลาเพียง 3 ปี และเหตุผลที่ทำให้เธอยังคงลงทุนในหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องสวนกระแสตลาดติดลบรุนแรง
ในอดีตก็พนักงานประจำทั่วไปที่เก็บเงินส่วนใหญ่ในบัญชีออมทรัพย์ หรือซื้อประกันบ้าง ประกันออมทรัพย์ High Coverage ประกันสุขภาพเพื่อคุ้มครอง กรณีเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล แต่ก็ยังไม่กล้าลงทุนหุ้น ด้วยความกลัว และไม่มีความรู้และเวลามากพอที่จะเท่าทันกระแสการลงทุน
จนกระทั่งไปเจอคลิปของโค้ชหนุ่ม Money Coach ที่แนะนำว่าเราควรแบ่งเงินไปลงทุน จึงเปิดใจลองซื้อหุ้นรายตัวสักระยะก็พบว่าผลตอบแทนเราไม่ได้ไม่ได้อยากที่คิด จนไปเจอคลิปคุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth ก็สนใจแนวความคิดการลงทุนและการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการบริหารจัดพอร์ต ที่จะตัดในเรื่องของอารมณ์และอคติในการลงทุนออกไป ก็คิดว่าน่าจะตอบโจทย์และได้ผลตอบแทนตามที่ประมาณการณ์ไว้
คุณธนพรไม่ได้เชื่อในทันที เพราะเธอได้มาหาข้อมูลและดูไล่ดูคลิปที่เกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุนของธนาคารแต่ละแห่ง ซึ่งการลงทุนในกองทุนส่วนบุคคลเวลานั้น เริ่มต้นที่หลักล้าน ก็แอบคิดหนักเพราะยังไม่เคยจะลงทุนด้วยเงินที่มากขนาดนั้น แต่พอ Jitta Wealth ปรับลดเงินลงทุนเริ่มต้นที่ 500,000 บาท จึงตัดสินใจกระโดดไปลงทุนทันที เพราะรับได้กับขั้นต่ำที่จะลงทุนแล้วค่อยๆ เติมเงินเข้าพอร์ตทีละแสน
“โชคดีเป็นช่วงโควิดที่ตลาดหุ้นมันดรอปลงพอดี ยึดมั่นสิ่งที่โค้ชหนุ่มและคุณเผ่าบอกว่าเป็นจุดที่ดีที่เราจะเริ่มต้นเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพราะเศรษฐกิจไทยหรือหุ้นไทยไม่เคยลงแล้วไม่ขึ้นจึงทยอยใส่เงิน DCA รายปีจนผ่านไปแค่ 2 ปี พอร์ตก็โตแบบชัดเจน ก็เลยยิ่งเห็นว่าโอกาสสร้างผลตอบแทนมันก็มีมากขึ้น”
จริงๆ แรกเริ่มลงทุนก็เล็งๆ หุ้นไทย เวียดนาม และสหรัฐฯ ด้วย แต่ก็ยังไม่กล้าลงหุ้นต่างประเทศ ประกอบกับช่วงนั้นสภาพเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่แน่นอน จึงตัดสินใจเลยเลือกในสิ่งที่ที่เรารู้ และเคยมีประสบการณ์มาก่อนจึงลงตัวที่หุ้นไทย
ทุกวันนี้คุณธนพรมีผลิตภัณฑ์การลงทุนหลายรูปแบบ และยังคงลงทุนในหุ้นไทยรายตัวอยู่ โดยจะเน้นหุ้นปันผลเป็นหลักเพราะรู้ว่าไม่ได้มีเวลาตามข่าวเพื่อจับจังหวะหุ้นเด้ง แม้ราคาหุ้นจะไม่เพิ่มมากแต่ก็แฮปปี้กับเงินปันผลที่เข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งผลตอบแทนที่ได้ก็ไม่หนีไปจากที่คาดมากนัก จึงแบ่งเงินรายเดือนเพื่อ DCA ในหุ้นปันผล และรวบรวมเงินปันผลให้เป็นเงินก้อนแล้วนำมา Reinvest ใน Jitta Ranking หุ้นไทย
“เราก็แบ่งเงินตามที่โค้ชหนุ่มแนะนำ ที่ทำงานก็มีลงกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่แล้ว เราก็ลงเต็มที่ ส่วนเงินได้มาก็จัดสัดส่วนเงินลงทุนเป็นก้อนๆ ทั้งประกันสุขภาพ หรือทุนสูงๆ เผื่อเป็นทุนการศึกษาให้ลูกหากเราไม่อยู่แล้ว แล้วก็แบ่งมาลงทุนหุ้น กองทุนลดหย่อนภาษีรวมถึงกองทุน SET50 และกองทุนหุ้นโลกบ้าง รวมถึงเก็บไว้ 10,000 บาท เพื่อสะสมไว้ DCA กับ Jitta Wealth แต่ถ้ามีโบนัสก็ตัดมาเติมเข้าไป อีกส่วนก็เก็บเป็นเงินสดไว้นิดหน่อยเผื่อฉุกเฉินตามทฤษฎี จากเมื่อก่อนที่แค่เก็บเงินซื้อประกันและจบ”
ส่วนใหญ่ของเงินลงทุนคุณธนพรเป็นเงินลงทุนระยะยาวเตรียมไว้เพื่อสร้างรากฐานให้ลูกสาว และเป็นพอร์ตที่เก็บไว้ใช้ยามเกษียณ แต่หากเป็นแผนการใช้เงินระยะสั้นเช่นเพื่อการท่องเที่ยว เธอเลือกที่จะใช้เงินที่เก็บในประกันระยะ 2-3 ปี เรียกว่าเป็นการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้ตอบโจทย์ชีวิตแต่ละช่วง
แม้จะเป็นนักคณิตศาสตร์ประกันภัย แต่คุณธนพรไม่ได้คร่ำเคร่งกับการกำหนดเป้าหมายการลงทุนหรือคำนวณอัตราผลตอบแทน(Yield) หรือ อัตราดอกเบี้ยให้ได้ตามเป้า แต่จะคำนวนสัดส่วนการลงทุนในแต่ละผลิตภัณฑ์ทางการเงินกับเงินที่มีให้เหมาะสม และประเมินให้ไม่กระทบกับส่วนอื่นๆ ของชีวิต และเข้าไปดูบ้างในส่วนของหุ้นปันผลที่บางจังหวะหุ้นบางตัวแพงไปก็อาจจะเปลี่ยนไปซื้อตัวที่ยังถูกอยู่ แต่พอร์ตที่ลงทุนกับ Jitta Wealth ก็จะปล่อยและคอยเติมเงินเข้าพอร์ตอย่างเดียว ผลตอบแทนจะเป็นเท่าไรก็เท่านั้นเพราะถือเป็นการลงทุนระยะยาว
“พอร์ตลูกรักก็ต้องยกให้ Jitta Ranking หุ้นไทย เพราะผลตอบแทนดี และความง่าย แล้วก็สะดวกสบายในการลงทุน”
ช่วงนี้จริงๆ ก็หวั่นไหวนะ เพราะภาพรวมการลงทุนของเราอยู่ในหุ้นไทย 80-90% ก็มีบ้างบางตัวที่เคยลงทุนเยอะๆ ก็อาจจะไม่ได้ใส่เงินมากเท่าเมื่อก่อน แต่แบ่งมาเก็บเป็นเงินสดเพิ่มขึ้น โชคดีว่าช่วงที่ลงทุน Jitta Wealth ใหม่ๆ เป็นช่วงที่หุ้นไทยตกมากๆ
แล้วจู่ๆ มันก็กลับขึ้นมาก็เลยเชื่อว่ามีขึ้นก็ต้องมีลง เพราะเราคิดแล้วว่าเงินก้อนนี้เป็นการลงทุนระยะยาวไม่ใช่เงินที่เราจะใช้ 1-2 ปี ข้างหน้า แม้จะไม่ใช่เงินที่เราจะยอมสูญได้แต่มันก็เป็นเงินที่เรายอมที่จะเก็บไปใช้ในอีก 10 ปีข้างหน้า ได้หรือรอให้ตลาดมันดีขึ้นได้อีก 5-6 ปีข้างหน้า ก็เชื่อว่ามันต้องมันต้องขึ้นแต่อาจจะไม่ได้หวือหวาเหมือนสมัยก่อน
คุณธนพรทิ้งท้ายว่า การลงทุนต้องเริ่มจากการความรู้ก่อน เมื่อรู้แล้วตัดสินใจ สิ่งที่เหลือคือความเชื่อมั่น แต่ในความเชื่อมั่นนั้น เราต้องคอยมอนิเตอร์ว่าภาพรวมสิ่งที่ได้กับความต้องการตรงกันหรือเปล่า หากยังอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ต่ำกว่า Minimum ก็รับได้
“จริงๆ มันอยู่ที่ความรู้ก่อนที่จะลงทุนอย่างที่คุณเผ่าบอก ถ้าเราคิดว่าเรามีความรู้ เราเข้าใจสิ่งที่เราลงทุนไปว่าเขาเอาเงินไปทำอะไร ที่เหลือมันก็คือความเชื่อมั่นแล้ว เรา จะไปต่อกับมันไหม อดทนรอเพื่อสักวันต้องขึ้นแต่ทนจะทนไหวหรือเปล่า ที่เค้าเรียกว่าอดทนรวยได้รึเปล่า ”