หากการแต่งงานไม่เพียงเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตคู่ แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นการสร้างความมั่งคั่งให้ครอบครัว คุณคิดว่าชีวิตคู่ที่มีองค์ประกอบด้วยความรักและความมั่งคั่งจะยั่งยืนเพียงใด
คุณอัครวัฒน์ ศรีใบเกลี้ยง ชายหนุ่มผู้ตัดสินใจนำเงินเก็บมาลงทุนในต่างประเทศเป็นครั้งแรกหลังการแต่งงาน โดยเริ่มต้นประเดิมที่ Jitta Ranking หุ้นเวียดนาม ตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว จนบัดนี้ เห็นการเติบโตของพอร์ตกว่า +78.83% สูงกว่าเมื่อเทียบกับดัชนี VN Index ในช่วงเวลาเดียวกันที่เพิ่มขึ้นเพียง +9.76% (18 พฤศจิกายน 2562 – 20 ธันวาคม 2566)
“เพราะเงินก้อนนี้เป็นเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิต เราไม่ได้มองว่าเราได้มาแล้ว เราเป็นคนรวย แต่เราเอาไปเผื่ออนาคต เราตั้งใจจะใช้เงินนี้หลังเกษียณจริงๆ เป็นหลักประกันระยะยาวไปเลย”
เดิมทีคุณอัครวัฒน์ ทำงานเป็นวิศวกรเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ก่อนจะค้นพบตัวเองว่าชื่นชอบการทำอาหารทุกวันนี้จึงเปลี่ยนตัวเองมาเป็นเชฟเมื่อราวๆ 2-3 ปีที่แล้ว
คุณอัครวัฒน์และแฟน เริ่มสนใจการลงทุนตั้งแต่ 10 ปีก่อน ช่วงที่ยังอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย และเมื่อเรียนจบเริ่มมีเงินเดือนก็นำมาลองลงทุนในตลาดหุ้นไทย ลองลงทุนไปแบบไม่ได้มีความรู้มากนัก จึงได้บ้างเสียบ้างตามประสานักลงทุนมือใหม่
แต่เมื่อถึงจุดที่เริ่มเข้าใจและมองว่าต้องการให้เป็นการลงทุนระยะยาว จึงเริ่มหาวิธีการอ่านงบการเงินบ้าง แต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก เพราะธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่ดูแลอยู่ จึงไม่มีเวลาดูพอร์ตมากนัก
ทั้งคู่ช่วยดูแลเรื่องการลงทุนไปด้วยกัน ส่วนใหญ่เป็นหุ้นไทย และกองทุนบ้าง ควบคู่ไปกับการหาความรู้ ด้วยการฟังคลิปลงทุน ที่เน้นไปในแนวหลักการลงทุนมากกว่าการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคที่เขามองว่าไม่เหมาะกับพฤติกรรมส่วนตัวที่ไม่ค่อยมีเวลาดูพอร์ต
คุณอัครวัฒน์หาไอเดียว่าจะนำเงินไปลงทุนทั้งหุ้นไทยและหุ้นนอก และประเทศแรกที่มองคือ ‘เวียดนาม’ ที่ไม่ใช่เพียงแค่ฟัง แต่ยังออกไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง
“ทั้งแฟนและตัวผมเองค่อนข้างชื่นชอบดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนสาย VI เป็นพิเศษ ก็พอจะเข้าใจว่าถ้าจะลงทุนอะไรก็ต้องเข้าใจพื้นฐานโดยรวม และทีนี้ก็มาถึงไอเดียเรื่องการลงทุนในเวียดนาม ที่ตอนนั้นมันมีความรู้สึกว่ามันก็น่าจะโตไปได้อีก ก็ศึกษากันมาประมาณนึงแล้วจึงลองไปเที่ยวดูช่วงสั้นๆ ว่าจริงไหม ก็รู้สึกว่าโอเคมั่นใจ”
ช่วงก่อนแต่งงาน หรือเมื่อราว 5 ปีก่อน คุณอัครวัฒน์และแฟนได้รู้จักกับ Jitta Wealth ที่ใช้ AI เข้ามาบริหารพอร์ต ปรับเปลี่ยนการลงทุนให้เหมาะกับสถานการณ์ตลอด ซึ่งช่วยปิดจุดอ่อนของเขาที่ไม่มีเวลาดูพอร์ตเองได้เป็นอย่างดี จึงสนใจประกอบกับเวลานั้นพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง เมื่อรวมกับเงินเก็บที่ทั้งคู่สะสมมา ก็ได้เวลาเริ่มต้นลงทุนเมื่อปลายปี 2562 เป็นการลงทุนนอกประเทศครั้งแรกของทั้งคู่
“ก่อนหน้านั้นก็จะเน้นลงทุนในหุ้นไทยมาตลอด เพราะยังไม่ค่อยเข้าใจในหุ้นต่างประเทศ ก็จะไม่กล้าลงทุนกับอะไรที่เราไม่มั่นใจหรือไม่เข้าใจว่ามันจะโตขึ้นหรือไม่ ถ้าต้องตามข่าวตลอดก็ไม่ค่อยชอบแนวนั้น อย่างเวลาฟังโบรกเกอร์ที่เขาเชียร์ให้ซื้อหุ้น เพราะอยากได้ Transaction ถ้าเราตามไปก็ไม่รู้จะได้หรือเสีย ถ้าไม่ได้มีเวลามาก สู้เราโฟกัสสิ่งที่เรารู้ว่าพื้นฐานเป็นอย่างไร แนวโน้มจะไปต่อได้อย่างไร แล้วเอาเงินก้อนใหญ่ไปลงกับมันเหมือนที่ลงกับ Jitta Wealth ดีกว่า”
หลังจากเปิดพอร์ต Jitta Ranking มา 4 ปีคุณอัครวัฒน์แทบไม่เปิดดูความเป็นไปของพอร์ตเลยก็ว่าได้ ด้วยความเชื่อมั่นในการลงทุนของ Jitta Wealth เขาเลือกที่จะดูพอร์ตเฉพาะช่วงเวลาที่มีข่าวสำคัญๆ ที่มากระทบกับพอร์ตลงทุนเท่านั้น
ซึ่งตลอดช่วง 4 ปีเศษ เขาเปิดดูพอร์ตในช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด และพบว่าพอร์ตของเขาเพิ่มพูนจากเงินเริ่มต้นไปถึง +300% ในเวลาปีเศษ!
แต่เพราะตั้งเป้าหมายไว้แล้วว่าเงินก้อนนี้จะเป็นเงินก้อนที่เก็บไว้ใช้หลังเกษียณ และเชื่อมั่นในเวียดนามชนิดร่วมหัวจมท้ายไปกับเวียดนามเลยก็ว่าได้ เขาจึงไม่ได้ตัดสินใจขายหุ้นออกมา แม้ว่าหลังจากนั้น ตลาดหุ้นเวียดนามจะร่วงลงมาค่อนข้างรุนแรง และล่าสุดพอร์ต Jitta Ranking หุ้นเวียดนาม ของเขาสร้างผลตอบแทน +78.83% (ณ 20 ธันวาคม 2566)
ระหว่างการพูดคุยคุณอัครวัฒน์ก็ได้เปิดดูพอร์ตตัวเองเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน พร้อมกับพูดว่า “โอเคมันก็ยังกำไรอยู่ดีนะ ก็ไม่เป็นไร”
Mindset ของคุณอัครวัฒน์ไม่ซับซ้อน เขามองว่า เงินก้อนนี้เป็นเงินที่เตรียมไว้ใช้หลังเกษียณหรือเป็นการลงทุนระยะยาว หากเปิดดูพอร์ตบ่อยๆ พอจังหวะขึ้นหรือลงทุกวันก็อาจเป็นกังวลได้ เพราะเข้าใจอยู่แล้วว่า สินทรัพย์ที่ลงทุนอยู่มีความเสี่ยงระดับใด แต่เมื่อเชื่อมั่นและยังไม่มีข่าวร้ายมากระทบมากก็ปล่อยไว้แบบนั้นให้พอร์ตเติบโตไปยาวๆ ยกเว้นมีข่าวที่กระทบจริงๆ ก็ปรับเปลี่ยน
“มันอาจจะไม่ได้ขึ้นมากเหมือนช่วงโควิด แต่มันก็ยังไปได้ต่อและไม่ได้มีข่าวร้ายแบบมีสงครามภายในอะไรขนาดนั้น และเราตั้งใจจะใช้เงินนี่หลังเกษียณจริงๆ เพราะเงินนี้เป็นเงินก้อนส่วนใหญ่ของชีวิต รายได้ที่เข้ามาเอาแค่พอใช้ เราไม่ได้เปลี่ยนไลฟ์สไตล์อะไรมาก เงินบางส่วนที่เล็กๆ น้อยๆ ก็ให้แฟนดูแลเรื่องลงทุนไป เล่นสั้นๆ บ้าง คือเราไม่ได้มองว่าเราจะลงทุนเพื่อนำเงินมาใช้ในชีวิตขนาดนั้น แต่คิดว่ามันเป็นหลักประกันระยะยาวไปเลย”
ถึงแม้จะไม่ได้เปิดดูพอร์ตเลยก็ตาม แต่คุณอัครวัฒน์จะคอยดูดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ตลอด เพื่อมองเป็นภาพกว้างของการลงทุน และเล็งอยู่ว่า หากดัชนีปรับตัวลดลงมาถึงระดับที่ตั้งเป้าหมายไว้ในใจ เขาจะลงทุนเพิ่มในตลาดเวียดนามอีกแน่นอนเพราะมุมมองที่เขามีต่อเวียดนามก็ยังไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อ 4- 5 ปีที่แล้ว คือยังเชื่อว่าเวียดนามน่าจะเติบโตไปได้อีกไกล
นอกจาก Jitta Ranking หุ้นเวียดนามแล้ว เมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้ คุณอัครวัฒน์ก็ได้เปิดพอร์ตลงทุนเพิ่มกับ Jitta Wealth ได้แก่ Thematic Optimize และ Global ETF พร้อมกันอีก 2 พอร์ต เพราะต้องการกระจายความเสี่ยง ซึ่งผลตอบแทนก็ยัง +11.63% และ +25.15% ตามลำดับ และหากมองภาพรวมทั้ง 3 พอร์ต เขาก็ยังยกให้ Jitta Ranking หุ้นเวียดนาม เป็นพอร์ตลูกรัก เพราะความเชื่อมั่นในหุ้นเวียดนามตั้งแต่แรก และทำให้เขากล้าที่จะลงทุนในต่างประเทศเป็นครั้งแรก
หลังจากมีประสบการณ์การลงทุนต่างประเทศผ่านตลาดเวียดนามแล้ว ปัจจุบันเขายอมรับว่าก็มีความสนใจและอยากศึกษาในหุ้นต่างประเทศอื่นๆ เพิ่มเติมเช่นกัน แต่จะยังคงเน้นไปที่ประเทศกำลังพัฒนาหรือพัฒนาเฉพาะจุดมากกว่าตลาดหุ้นใหญ่อย่างสหรัฐฯ หรือจีน เพราะเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้นเกิดใหม่ยังมีศักยภาพการเติบโตมากกว่า