อนาคตของภาษีหุ้นต่างประเทศ นักลงทุนต้องทำอย่างไร?

27 กันยายน 2566Jitta WealthMessage from CEO

ประเด็นร้อนที่นักลงทุนหลายคนกำลังรอคำตอบที่ชัดเจน คงหนีไม่พ้น การเรียกเก็บภาษีเงินได้จากต่างประเทศ หรือหากจะขยายความอีกสักหน่อยก็คือ การเรียกเก็บภาษีหากคุณมีรายได้จากต่างประเทศและต้องการนำเข้ามาในไทย ซึ่งยังคงไม่มีเกณฑ์อะไรที่แน่ชัด และกรมสรรพากรเองก็เตรียมเปิดรับความเห็น โดยให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถเข้าไปเสนอแนะในประเด็นนี้ได้ 

จริงๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร จะกระทบใครบ้าง อนาคตของการเก็บภาษีเงินได้ต่างประเทศจะเป็นอย่างไร กฎเกณฑ์ที่ยุติธรรมควรน่าตาประมาณไหน และนักลงทุนที่มีหุ้นต่างประเทศควรทำอะไรไหม 

วันนี้ คุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ นักลงทุนในหุ้นต่างประเทศ CEO ของ Jitta แพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้นในและต่างประเทศ และ Jitta Wealth ได้มาพูดคุยกับอาจารย์มิกกี้ ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ อาจารย์สอนกฎหมายภาษีและผู้ก่อตั้งบริษัท iTAX เพื่อหาคำตอบ ไขข้อสงสัยให้กับนักลงทุน 

Jitta Wealth ได้สรุปประเด็นที่สำคัญไว้ให้แล้ว 

ได้ยินข่าวนี้ครั้งแรกรู้สึกอย่างไร

อาจารย์มิก: ช็อก แล้วตลกมากเพราะ ผมสอนวิชาภาษีที่มหาวิทยาลัยสยามในวันศุกร์ ผมก็สอนเกณฑ์เก่าไปว่าการเก็บรายได้จากต่างประเทศมีกฎเกณฑ์อย่างไรบ้าง พอวันเสาร์อาทิตย์เห็นข่าว และวันจันทร์ก็เป็นข่าวทางการมาจากกรมสรรพากร ผมก็เลยต้องสอนนักศึกษาใหม่อีกรอบหนึ่ง อันเดิมที่สอนไปขีดทิ้งไปเลย

คุณเผ่า: วันศุกร์เย็นๆ เห็นคนแชร์มา ตอนแรกก็สงสัยว่า เป็นเรื่องจริงรึเปล่า เพราะในตอนนั้นก็ยังไม่มีใครออกมายืนยัน จนเริ่มมีประกาศจากสำนักข่าวอย่างเป็นทางการ

เกณฑ์ภาษีใหม่คำนวณอย่างไรและซับซ้อนแค่ไหน 

อาจารย์มิก: เกณฑ์เก่าสรุปง่ายๆ คือ เมื่อก่อนเมื่อเรามีรายได้จากต่างประเทศ ถ้ารายได้เกิดขึ้นในปีนี้ แล้วเราเอาเข้ามาปีหน้าเราไม่ต้องเสียอะไร สรรพากรไม่เข้ามายุ่ง ซึ่งก็ถือว่าเป็นเทคนิคหนึ่งที่เราเข้าใจกันมาตลอด และมีผลกับการวางแผนภาษีของเราด้วย แต่เกณฑ์ใหม่ที่ออกมาคือ ถ้าคุณมีรายได้จากต่างประเทศ ไม่ว่าคุณจะเอาเงินเข้ามาในประเทศปีไหนก็เสียภาษี จะต้องจัดการอย่างไร

ความซับซ้อนที่เกิดขึ้นคือ เราใช้เกณฑ์เดิมมากว่า 36 ปี ทุกคนก็เคยชินไปแบบนั้นแล้ว แล้วพอมาเปลี่ยนโดยมีเวลาอีกเพียง 3 เดือนนิดๆ เพราะว่า 1 มกราคม 2567 ก็ะเริ่มใช้แล้ว ทุกคนเลยกังวลว่า แล้วมันจะเป็นอย่างไรต่อ 

และอย่าลืมว่ารายได้หรือเงินได้จากต่างประเทศเนี้ยไม่ได้มีแค่เรื่องการลงทุนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เรื่องเงินเก็บจากการทำงานอีก แบบนี้จะโดนด้วยหรือไม่ ซึ่งก็คงต้องพูดคุยกันในทางวิชาการอีกที ถกกันเพื่อหาความชัดเจนจากกรมสรรพากร 

คุณเผ่า: รายได้มีหลายประเภท ส่วนตัวผมเองก็มีรายได้จากต่างประเทศซึ่งส่วนมากก็ไม่ได้เอากลับมาตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจออนไลน์ เราอาจจะพูดเรื่องการลงทุนกันเยอะ แต่จริงๆ ในมุมของกรมสรรพกร รายได้มีหลายประเภทมาก เช่น รายได้จากหน้าที่การงาน รายได้จากการประกอบกิจการ และรายได้จากทรัพย์สินที่ลงทุน

และถ้านับเฉพาะรายได้จากการลงทุน เอาแค่หุ้นก็มีความซับซ้อนมาก ยกตัวอย่างเช่นการลงทุนมีทั้งกำไรและขาดทุน แล้วเราจะทำอย่างไรหากเราไม่ได้มีแค่กำไรเพียงอย่างเดียว

อาจารย์มิก: ถ้าเกิดเป็นในไทยและขายหุ้นในตลาดก็สบายมาก เพราะว่าไม่เก็บภาษีอยู่แล้ว ขาดทุนก็ขาดทุนไป กําไรก็ไม่เสียภาษี แต่ถ้าเป็นการลงทุนในต่างประเทศ ก็รอดูอยู่เหมือนกันว่าจะมีเกณฑ์ที่ชัดเจนออกมาอย่างไร

จริงหรือไม่ เกณฑ์ใหม่ทำให้เก็บภาษีทับซ้อน

อาจารย์มิก: ไม่จริง ความตกลงระหว่างประเทศที่เรียกอนุสัญญาภาษีซ้อน มันเป็นความตกลงระหว่างประเทศต่อประเทศ เช่นไทยกับอเมริกา ไทยกับอังกฤษ ไทยกับอินเดีย ดังนั้นความตกลงแต่ละที่ก็ไม่เหมือนกัน บางประเทศใช่ บางประเทศไม่ใช่

เงินได้บางรายการกําหนดอย่างนั้นจริง ว่าอีกประเทศหนึ่งจะไม่เก็บ แต่ว่าบางรายการอาจจะเก็บได้ทั้ง 2 ที่ก็ได้

เกณฑ์การเก็บภาษีหุ้นต่างประเทศใหม่มีความชัดเจนแค่ไหน

อาจารย์มิก: ไม่ชัดเจนเลย เราจะต้องทำอย่างไรบ้าง ถ้าเราอยากเอาเงินกลับเข้ามาเราทำอย่างไรได้บ้าง และส่วนตัวก็แอบเชื่อว่า คนที่รวยมากๆ สุดท้ายเขาจะมีวิธีการในการจัดการเพื่อให้เขาไม่ต้องไปเสียภาษีอยู่ดี

มันอาจจะกลายเป็นปัญหาที่เกิดกับชนชั้นกลางหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่าในปัจจุบัน การลงทุนในต่างประเทศ ไม่ใช่ว่าผมต้องรวยมากถึงจะลงทุนได้ มีเงินหลักพันหลักหมื่น เราก็ลงทุนได้แล้ว 

เกณฑ์หนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ หากคุณอาศัยอยู่ในไทย 179 วันหรือน้อยกว่านั้นแล้วคุณเอารายได้จากต่างประเทศเข้ามาในไทยคุณไม่จำเป็นต้องเสียภาษี ซึ่งช่องว่างตรงนี้ก็ต้องเป็นคนที่มีเงินระดับหนึ่งถึงทำได้ และไม่ใช่ชนชั้นกลางแน่นอน

คุณเผ่า: เห็นด้วยกับอาจารย์มิกซ์ เรื่องภาษีเป็นเรื่องสําคัญและก็เป็นภาระหน้าที่ของประชาชนคนไทยทุกคน

แต่ว่าสิ่งที่เราต้องการก็คือจะเสียยังไงให้ให้ถูกต้องแล้วก็เป็นธรรมที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่สรรพากรอาจจะต้องค่อยค่อยออกมาชี้แจง

อาจารย์มิก: ซึ่งกรมสรรพากรก็ออกมาชี้แจงมาเมื่อวันที่ 18 กันยายน ว่าเขากำลังเตรียมทำออกไกด์ไลน์ให้ และจะมีการพูดคุยกับผู้มีส่วนร่วมต่างๆ เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมต่อไป ถือว่าเป็นสัญญาดี 

หุ้นต่างประเทศ vs กองทุนรวมต่างประเทศ ทำไมเก็บภาษีต่างกัน

อาจารย์มิก: ผมไม่แน่ใจกับกับวิธีคิดของนโยบายนี้เหมือนกัน แต่ผมขอเดาแล้วว่า เขาตีความว่าคนที่จะสามารถลงทุนในหุ้นและ ETF ได้ อาจจะเป็นคนที่มีฐานะระดับหนึ่ง ในขณะที่การลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ไปลงในต่างประเทศ เขาตีความหมายว่าเป็นการลงทุนที่เกิดขึ้นในประเทศ 

อีกนานไหมกว่าเกณฑ์จะชัดเจน?

อาจารย์มิก: ผมอาจจะตอบแทนไม่ได้ แต่ผลขอเทียบจากกระบวนการที่เคยเกิดขึ้นกับภาษีเงินดิจิตอลแล้วกัน ซึ่งกระบวกการที่เกิดขึ้นคือ ประกาศไปก่อนแล้วก็ดูเหมือนจะเหมารวมทั้งหมด หลังจากนั้นก็เริ่มเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาเริ่มคุยกันทีละกลุ่ม อาจจะคุยกับผู้เสียภาษีรายย่อยบ้าง นักลงทุนรายย่อยบ้างว่าไป จนกระทั้งออกมาเป็นไกด์ไลน์ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน คิดว่าประมาณ 1 เดือนน่าจะเห็นอะไรที่ชัดเจนขึ้น 

สำหรับคนที่ลงทุนต่างประเทศ ควรรับมืออย่างไร?

คุณเผ่า: ในฐานะที่เป็นนักลงทุนต่างประเทศ จากที่พูดคุยกับหลายๆ คน ก็คิดว่าคงไม่ต้องรีบร้อนที่จะถอนการลงทุน เพราะระยะเวลาเพียง 3 เดือน มันค่อนข้างที่จะจัดการยาก และสุดท้าย เมื่อนำกลับมาในประเทศก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปลงทุนอะไร หรือบางทีก็มีพอร์ตส่วนหนึ่งที่ตั้งใจจะลงทุนในประเทศอยู่แล้ว 

เพราะฉะนั้น คนส่วนใหญ่น่าจะรอความชัดเจนในเรื่องภาษีก่อน เกณฑ์ต่างๆ คงค่อยๆ ออกมา แล้วเราจะได้ทำเรื่องจัดการหรือวางแผนภาษีได้ถูกต้อง

อาจารย์มิก: ผมคิดว่ามี 2 ประเด็น 

  • เรื่องแรกคือว่า ถ้า ณ ขณะนี้มันยังไม่ชัดเจน ก็รอให้มันชัดก่อน รีบทำอะไรไปไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ อีกอย่างที่คุณเผ่าพูด ผมเห็นด้วยเหมือนกัน คือเรามองเรื่องการลงทุนระยะยาว ตอนนี้มันเป็นปัจจัยแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นในระยะสั้น ถ้าสมมติเราบอกว่า ชิงขายก่อนแล้วเอาเงินกลับมาเลย ก็โดนภาษีแน่นอน แล้วผลตอบแทนที่ควรจะได้ก็จะหายไปด้วย ผมว่ามันไม่มีอะไรดี เป็นการเสียโอกาสมากกว่า
  • กับอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในเรื่องของนโยบายที่เกิดขึ้น มันเป็นนโยบายคลัง ซึ่งเปลี่ยนแปลงได้ วันนี้บอกว่าเปลี่ยนก็ไม่มีอะไรแน่นอน อีก 4 ปีเปลี่ยนรัฐบาล หรืออาจเป็นรัฐบาลชุดเดิมแต่เปลี่ยนใจแล้วกลับไปใช้เกณฑ์เดิมแบบที่เราเคยใช้ 36 ปีที่แล้ว แล้วที่ขายไปแล้วจะทำอย่างไร ถึงจุดนั้นผมว่าอาจเป็นจุดที่น่าเสียดายมากกว่าผมคิดว่าเราอยู่รอความชัดเจน เพราะนโยบายคลังมันเปลี่ยนได้เสมอ 

ผมเข้าใจว่านโยบายภาษีมันมีผลกับการตัดสินใจของเราในการลงทุน เพราะมันมีผลทำให้ผลตอบแทนของเราไม่ได้เท่าเดิม แต่ผมก็ไม่อยากให้ไปคิดเรื่องภาษีเสียจนเราลืมมองผลตอบแทนที่มันเกิดขึ้นจริง 

ผมคิดว่า เอาตรงนี้เป็นที่ตั้งก่อน มันอาจทำให้เราเข้าใจภาวะต่างๆ ง่ายขึ้น แล้วเลือกตัดสินใจในวิธีการที่มันถูกต้องได้ง่ายขึ้นมากกว่า

การเก็บภาษีเงินได้ต่างประเทศที่เป็นธรรม หน้าตาควรเป็นอย่างไร

อาจารย์มิก: การเก็บภาษีผมว่ามันเป็นเรื่องที่ทำได้ ทั้งประเทศที่เป็นเจ้าของแหล่งเงินได้ และประเทศที่เป็นเจ้าของถิ่นที่อยู่

ประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่าต้องเป็นคือ การเก็บภาษีไม่ควรมีการเก็บซ้ำซ้อน (Double Tax Station) ไม่ควรมี เพราะนี่คือสิ่งที่มันไม่ยุติธรรม ดังนั้นถ้าถามผม คือถ้าเก็บ ขอให้เก็บครั้งเดียวแล้วไม่มีการเก็บซ้ำซ้อนอีก ผมว่ายุติธรรมกับทุกคน

คุณเผ่า: เห็นด้วยครับ และในมุมนักลงทุนเองก็อยากให้พิจารณาเรื่องความเป็นธรรมและเท่าเทียม 

  • อย่างแรกสุดเอาเรื่องความเป็นธรรมก่อน ซึ่งหลายคนก็มองว่าเราลงทุนในหุ้นแล้วมาเก็บแต่กำไร อันนี้ไม่เป็นธรรมแน่นอน เพราะหุ้นมีขาดทุน เพราะฉะนั้นอย่างแรกเลยคือ ถ้าจะเก็บภาษีจากกำไรที่ลงทุนในทรัพย์สินโดยเฉพาะหุ้น ควรใช้เกณฑ์สากลก็คือ Net Capital Gain เอายอดขาดทุนมาหักได้ ในหลายประเทศสามารถเอายอดขาดทุนมาหักได้แบบยาวๆ หมายความว่า เกิดคุณขาดทุนเยอะในปีนี้แล้วเอาไปหักลบไม่หมด  ก็เอายอดไปหักในปีหน้าได้ ถ้าเป็นแบบนี้น่าจะเป็นแรงจูงใจในการไปลงทุนต่างประเทศ และวางแผนภาษีได้ดีขึ้น
  • อีกเรื่องคือ ควรจะมีเกณฑ์ลดหย่อนและอัตราภาษีสำหรับ Capital Gain Tax โดยเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่น เกิดคนสองคนได้กำไรจากการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ 1 ล้านบาทเท่ากัน แต่คนนึงมีเงินได้อื่น อีกคนไม่มีเลย แต่เสียภาษีไม่เท่ากัน ก็จะไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่
  • คนที่มีกำไรเยอะ กับคนที่มีกำไรน้อยควรแยกกันให้ชัด เพราะในปัจจุบันรายย่อยไปลงทุนต่างประเทศเยอะ ถ้าคุณไปเริ่มเก็บเขาตั้งแต่กำไรน้อยๆ ก็แทบจะลืมตาอ้าปากไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ในหลายๆ ประเทศเขาก็มีการ ยกเว้นภาษีส่วนแรก เช่น ในสหรัฐฯ หากไม่ถึง 44,000 ดอลลาร์สหรัฐ ก็จะถูกยกเว้นไปเป็นต้น 

ผมมองว่าแบบนี้จะเป็นธรรมมากที่สุด

ยกตัวอย่างเกณฑ์ภาษีของต่างประเทศที่เป็นธรรม

คุณเผ่า: สำหรับผมขอยกตัวอย่างสหรัฐฯ จริงๆ เขาก็มีการเก็บภาษีที่โหดในระดับนึง แต่ก็มีความชัดเจน และยุติธรรม เพราะเขามีการบันทึกที่ละเอียดมากๆ

  • อย่างสหรัฐฯ เรื่อง Capital Gain Tax เขาก็เก็บมานานแล้ว และแยกด้วยว่าเป็น Short Term หรือ Long Term เช่น 
  • Short Term Gain เมื่อสุทธิแล้วมีกำไรก็นำไปเสียรวมกับภาษีเงินได้บุคคลปกติ เพราะเขามองว่าเป็น Trading 
  • แต่ถ้าเป็น Long Term เขามองว่าเป็นการลงทุน ก็ไปเสียในอัตราภาษีต่างหาก
  • อีกอย่างคือเขาสามารถนำยอดขาดทุนมาหักได้แบบไม่จำกัด หมายความว่า หากบางคนขาดทุนก็สามารถเก็บไว้หักลบได้ รวมถึงสามารถนำมาหักจากภาษีบุคคลปกติได้ เพราะเขามองว่าเป็นส่วนหนึ่งของรายได้ที่สูญเสียไป ก็ควรจะเอาไปหักภาษีอย่างอื่นได้เหมือนกัน

และเวลาเราไปดูเกณฑ์ของทางสหรัฐฯ ก็จะพบว่าแบ่งเป็นหลายแบบ คนโสดก็แบบนึง หัวหน้าครอบครัว คนที่แต่งงานแล้วยื่นร่วมกัน หรือแต่งงานแต่ยื่นแยกกันก็จะมีส่วนที่ได้รับยกเว้น

  • ส่วนอังกฤษผมมองว่าเป็นอีกตัวเลือกนึง เรื่องที่คล้ายกันคือเขาสามารถนำยอดขาดทุนมาหักได้ แต่เสร็จแล้วในส่วนของกำไรหลักจากที่หัก เขาจะมีการลดหย่อยสำหรับรายได้ประเภทนี้โดยเฉพาะ ประมาณ 6,000 ปอนด์ คือ 6,000 ปอนด์แรกคุณเอาไปหัก แล้วหลังจากนั้นส่วนที่เกินมาค่อยเอาไปรวมกับภาษีเงินได้ปกติ

เพราะงั้นถ้าเราจะเก็บ สามารถทำตามประเทศเหล่านี้ ที่เป็นสากลได้

อาจารย์มิก: ประเทศไทยสามารถไปดูแนวทางปฏิบัติของประเทศอื่นที่เขาพัฒนาแล้วโดยเฉพาะกลุ่ม OECD (องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ) 

แต่ต้องยอมรับเรื่องนึงว่า ถ้าอยากให้ภาษีเป็นธรรม สิ่งที่จะต้องแลกกันก็คือความซับซ้อน ซึ่งจะวุ่นวายขึ้น มีการทำบัญชีเยอะขึ้น อย่างที่สหรัฐฯ จริงๆ อัตราภาษีของเขาจะนิ่งๆ แต่ช่วงชั้นในการเก็บภาษีแต่ละชั้นจะมีการปรับทุกปีโดยปรับตามเงินเฟ้อ พวกค่าลดหย่อน ก็ปรับตามเงินเฟ้อด้วยเช่นเดียวกัน 

แปลว่า ในปีนี้ผมเสียภาษีในอัตรานึง ปีหน้าอัตราการเสียมันจะขยับขึ้นไปอีก เท่ากับว่าถ้ารายได้ผมยังเท่าเดิม ผมจะเสียภาษีในอัตราที่ถูกลง และมีความสอดรับกับสภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในแต่ละปีด้วย ในบ้านเรายังมีการปรับที่ช้ามาก

ผมมองว่าเครื่องมือทางการคลัง เป็นเครื่องมือที่ดีในการเก็บเงิน ปรับพฤติกรรม ปรับกระแสเงินที่อยู่ในประเทศ แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องคิดในมุมของผู้เสียภาษีบ้างเหมือนกันว่าทำอย่างไรให้เป็นธรรมและพวกเราเองก็อยู่ได้

คุณเผ่า: อีกสิ่งที่อยากจะเสริมคือ มองว่าคนชนชั้นกลางเป็นฐานใหญ่ของประเทศ จะต้องพยายามกระตุ้นเหมือนที่ทุกรัฐบาลพยายามกระตุ้นให้คนเก็บออม และลงทุน เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาเติบโตในด้านการเงิน 

และต้องกระตุ้นให้คนอยากลงทุน เพราะถ้าคนไม่ลงทุนเลย ก็จะลำบากรัฐบาลในอนาคตที่ต้องเข้ามาช่วยเหลือเช่นกัน 

ในเรื่องของการเก็บภาษีแล้วก็มีการลดหย่อนแบบที่อาจารย์มิกบอก มันต้องพยายามปรับเรื่อยๆ เพื่อให้ประชาชนเสียภาษีในจุดที่เขาอยู่ได้ด้วย 

สุดท้ายสิ่งที่อยากจะรอก็คือความชัดเจน เพราะเรื่องภาษีถ้ายิ่งชัดเจนเท่าไหร่เราก็จะวางแผนหรือจัดการชีวิตได้ง่ายขึ้น

ในตอนนี้ความชัดเจนของเกณฑ์ในการจัดเก็บภาษีหุ้นต่างประเทศยังต้องรอต่อไป นโยบายการคลังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา สิ่งที่นักลงทุนทำได้ตอนนี้คือ การรอดูความชัดเจน และอย่าลืมว่าต่อให้การก็ภาษีจะเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจลงทุน แต่ก็อย่าลืมมองผลตอบแทนที่แท้จริง  

บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด
1111/9-10 ถนนลาดพร้าว แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900



สงวนลิขสิทธิ์ © 2024 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด
เนื้อหาทั้งหมดบนเว็บไซต์นี้จัดทำขึ้นโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด (“Jitta Wealth”) ผู้บริหารจัดการบัญชีกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth ที่ได้รับใบอนุญาตบริหารจัดการกองทุนประเภท ค เลขที่ ลค-0105-01 และดำเนินการภายใต้การกำกับ ดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) Jitta Wealth ให้บริการกองทุนส่วนบุคคลสำหรับผู้ลงทุนรายย่อย ที่ต้องการนำเงินมาลงทุนในตลาดทุน โดยใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์หุ้นและกลยุทธ์การลงทุนที่จัดทำโดยบริษัทจิตตะ ดอท คอม จำกัด (“Jitta.com”) บริหารจัดการให้แบบอัตโนมัติ เพื่อผลตอบแทนระยะยาวที่สูงกว่าดัชนีตลาด การลงทุนมีความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียกำไรหรือเงินต้น กลยุทธ์การลงทุนของ Jitta Wealth ใช้ข้อมูลวิเคราะห์หุ้นของ Jitta.com ซึ่งคิดคำนวณจากข้อมูลในอดีต อัตราผลตอบแทน การเปรียบเทียบหรือการจัดอันดับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนบนเว็บไซต์นี้เป็นสมมุติฐานทางสถิติจากข้อมูลที่มี เพื่อใช้ประกอบการอธิบายรายละเอียดบริการเท่านั้น ไม่สามารถใช้รับประกันผลตอบแทนในอนาคตได้ สถานการณ์ในโลกที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะแง่บวกหรือแง่ลบ สามารถส่งผลกระทบ ต่อทั้งอุตสาหกรรมหรือกลุ่มธุรกิจ และอาจทำให้พอร์ตหุ้นที่มีการกระจายความเสี่ยงค่อนข้างมากแล้ว ประสบความผันผวนด้านราคาได้ Jitta Wealth ได้รับอนุญาตให้บริหารจัดการกองทุนเพื่อช่วยผู้ลงทุนบรรลุเป้าหมายด้านการเงินผ่านการ ลงทุนในสินทรัพย์ประเภท หุ้นโดยไม่มีเจตนาแนะนำความเหมาะสมของกลยุทธ์การลงทุนใดๆ แก่ผู้ลงทุน ผู้ลงทุนควรคำนึงถึงเป้าหมายการลงทุนส่วนตัว และค่าธรรมเนียมต่างๆ ของ Jitta Wealth ก่อนลงทุน
“Jitta Wealth” เป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด