1. หลายรัฐบาลมีแนวทางปลดล็อก ‘กัญชา’ ให้ถูกกฎหมาย มีผลต่อธุรกิจเพาะปลูกและแปรรูปกัญชา เกิดโอกาสการลงทุนทั่วโลก มีการซื้อขายกันอย่างถูกต้อง รัฐบาลออกใบอนุญาต และสามารถเก็บภาษีได้มหาศาล
2. กัญชาเพื่อสันทนาการ สำหรับผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 21 ปี ตลาดกลุ่มนี้จะเติบโตมากกว่ากัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์ แต่ยังมีสินค้าอื่นๆ อย่างอาหาร ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง ที่เป็นช่องทางการเติบโตของอุตสาหกรรมกัญชา
3. ‘หุ้นกัญชา’ มีแรงส่งขาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ปลายปี 2563 จากนโยบายการปลดล็อกกัญชาทั่วประเทศของสหรัฐอเมริกาหลังเลือกตั้งประธานาธิบดี ขณะเดียวกันผลประกอบการของธุรกิจกัญชาเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น แต่ละธุรกิจมีโครงการลงทุนใหม่ๆ มีการควบรวมกิจการ และกระแสเงินสดที่ดี
4. ‘หุ้นกัญชา’ ที่พุ่งแรงในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นความไม่ปกติ คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ GameStop แต่ทิศทางราคาเริ่มเข้าสู่พื้นฐานที่แท้จริง สิ่งที่นักลงทุนต้องประเมินคือ อนาคตของอุตสาหกรรมกัญชา มีโอกาสเติบโตเหมือนบุหรี่หรือแอลกอฮอล์หรือไม่ ผลประกอบการและกำไรเป็นมีทิศทางอย่างไรในช่วง 10-20 ปี หลังจากนี้
https://www.youtube.com/watch?v=fjbEAMm2Uqk
ค่ำวันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คุณอิก บรรพต ธนาเพิ่มสุข จากเพจถามอีก กับอิก Tam-Eig ได้ Live คุยกับคุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO และ Founder ของ Jitta Wealth ในหัวข้อที่กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ‘ทำไมหุ้นกัญชาพุ่งหลายเด้งในไม่กี่เดือน? พื้นฐานดีหรือกระแสชั่วคราว?’
คุณเผ่าบอกว่า ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ‘กัญชา’ เป็นพืชที่มีสารเสพติด ในหลาย 10 ปีที่ผ่านมา หลายรัฐในสหรัฐอเมริกา แคนาดา หลายประเทศในยุโรป ค่อยๆ ทำให้ได้กัญชาถูกกฎหมาย เริ่มจากใช่ในทางแพทย์ (Medical Use) ก่อน ต่อมาจึงเป็นกัญชาเพื่อสันทนาการ (Recreation Use)
ในมุมมองของสันทนาการ จะมีความคล้ายคลึงกับสินค้าประเภทบุหรี่หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นั่นคือสามารถซื้อขายได้ทั่วไป และผู้ขายก็ต้องมีใบอนุญาตในการขายสินค้าเหล่านี้
คุณเผ่าย้ำว่า เสรี (Liberalisation) กับ ถูกกฎหมาย (Legalisation) มีความหมายต่างกัน ในที่นี่ ‘กัญชา’ เทรนด์ที่กำลังจะมีคือ การทำให้ถูกกฎหมาย ปลดล็อกให้สามารถทำธุรกิจได้ ซื้อขายได้ ภายใต้ใบอนุญาตจากรัฐบาล และมีการเก็บภาษีอย่างถูกต้อง
ดังนั้น คำว่า ‘เสรี’ อาจจะยังใช่ไม่ได้กับอุตสาหกรรมกัญชา
ปัจจุบันแคนาดาปลดล็อกให้กัญชาเป็นพืชถูกกฎหมาย เมื่อปลายปี 2561 สามารถนำมาใช้ได้ในทุกอุตสาหกรรม ส่วนสหรัฐอเมริกา ยังปลดล็อกการทำธุรกิจกัญชาในบางรัฐเท่านั้น โคโรลาโดเป็นรัฐแรกที่มีกัญชาเป็นของถูกกฎหมาย รวมๆ แล้วปัจจุบันมี 14 รัฐ ส่วนที่ยังใช้ได้ในทางการแพทย์เท่านั้นมี 22 รัฐ
คุณเผ่าบอกว่า Legalisation หรือทำให้ถูกกฎหมาย เป็นจุดชนวนสำคัญของ ‘หุ้นกัญชา’ ที่เห็นได้ชัดคือช่วงการเลือกตั้งสหรัฐฯ เพราะแนวทางพรรคเดโมแครตหันไปทางร่างกฎหมายให้กัญชาถูกกฎหมายทั้งประเทศ ดังนั้น Joe Biden ที่ถูกเลือกมาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ คือ ความหวังของธุรกิจกัญชา
ต่อมาคือ หากจะออกกฎหมายจริงๆ ต้องผ่านทั้งสภาล่าง คือ ส.ส. และสภาสูงคือ ส.ว. และจบที่สภาคองเกรส ที่มีทั้งส.ส. และส.ว. ประเด็นสำคัญคือ ฟากฝั่งพรรครีพับลิกัน ที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม ก็เอนเอียงไปในทางเดียวกับเดโมแครต
หลังจากนั้นพอมีการเลือกตั้งส.ว. จากหลายๆ รัฐ หลังจากการเลือกตั้งใหญ่ ทั้งจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน ประเด็นที่ทุกคนชูโรงคือ Cannabis Reform ปฏิรูปอุตสาหกรรมกัญชาผ่านร่างกฎหมาย
คุณเผ่าบอกว่า นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้ ‘หุ้นกัญชา’ ในช่วงปลายปี 2563 มีทิศทางขาขึ้น ตอบรับกระแสปลดล็อกกัญชาครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ
ทุกรัฐเห็นตัวอย่างจากรัฐที่มีกัญชาถูกกฎหมาย เพราะเก็บภาษีได้มากขึ้นจาก Excise Tax (ภาษีสรรพสามิต) และ Sales Tax (ภาษีขาย) อย่างรัฐโคโรลาโดเก็บภาษีจากการขายกัญชาได้ปีละ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ รัฐแคลิฟอเนียเก็บได้ปีละ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ มีการคาดการณ์ว่า ถ้าปลดล็อกให้ถูกกฎหมายทั้งประเทศ จะเก็บภาษีได้ปีละ 1.32 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
เมื่อสามารถทำธุรกิจกัญชาได้ ก็จะเกิดการจ้างงาน มีกระบวนตั้งแต่เพาะปลูก เก็บเกี่ยว แปรรูป ไปจนถึงผลิตสินค้า ซึ่งต้องใช้เม็ดเงินลงทุนและแรงงานคนอีกมหาศาล คาดว่า การจ้างงานในแต่ละรัฐจะเกิดขึ้น 10,000-20,000 คนเลยทีเดียว
คุณเผ่าบอกว่า การปลดล็อกธุรกิจกัญชา แน่นอนว่าจะต้องทำให้คนหันมาใช้กัญชาเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นใช้เพื่อสันทนาการ ก็ต้องกำหนดอายุ เช่น 21 ปีขึ้นไปถึงจะใช้เพื่อวัตถุประสงค์นี้ได้
อย่างแคนาดาหลังจากที่ปลดล็อกให้กัญชาถูกกฎหมาย ก็ทำให้มีผู้บริโภคเพิ่มขึ้นจากสัดส่วน 40% เป็น 60% ของประชากร เพราะคนที่อายุถึงเกณฑ์เริ่มที่จะอยากลองใช้ เหมือนบุหรี่และแอลกอฮอล์
เฉพาะตลาดสหรัฐฯ กัญชาถูกคาดว่าจะถูกนำไปใช้เพื่อสันทนาการมากกว่าทางการแพทย์ นอกจากมูลค่าตลาดจะเติบโตทุกปี กลุ่มกัญชาเพื่อสันทนาการก็โตไปในทิศทางเดียวกัน
พืชสกุลกัญชาใช้คำว่า Cannabis ซึ่งเป็นคำที่ใช้กับทั่วโลก แบ่งเป็น 3 สายพันธุ์ เป็น Sativa (กัญชง) Indica (กัญชา) และ Ruderalis เป็นวัชพืช คุณเผ่าบอกว่า มีแค่ 2 สายพันธุ์เท่านั้นที่ใช้ในอุตสาหกรรม คือ Sativa กับ Indica และจุดเด่นคือ ทั้ง 3 สายพันธุ์สามารถผสมข้ามสายพันธุ์กันได้
ตัวที่จะแยก Cannabis ออกมาอีก คือ สารสกัด Cannabinoid ตัวแยกระดับของสารในกัญชา ส่วนที่เป็นสารเสพติดคือ Tetrahydrocannabinol (THC) ส่วนที่เป็นสารให้ความสุข ให้เกิดการผ่อนคลาย ปรับสมดุล คือ Cannabidiol (CBD)
ถ้าเป็นใช้เพื่อสันทนาการ ก็เน้นไปที่ THC โดยรัฐบาลสามารถควบคุมปริมาณได้ ถ้าใช้เพื่ออุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น ทางการแพทย์ ขนม อาหาร หรือเครื่องดื่ม ก็เป็น CBD ดังนั้นจะถูกบังคับว่า ฉลากข้างขวดต้องระบุปริมาณของ THC และ CBD ไว้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีการเรียกพืชสกุลกัญชาว่า Hemp ที่มี THC ไม่เกิน 0.3% กับ Marijuana ที่มี THC ได้สูงถึง 30% ซึ่งยังต้องควบคุมจากทางรัฐ หากจะเพาะปลูกหรือทำธุรกิจเกี่ยวกับ Marijuana
ดังนั้นการปลูกกัญชาไม่ง่าย คุณเผ่าบอกว่า ต้นกล้าต้องผ่านการพัฒนาตัดต่อพันธุกรรม เพื่อให้สามารถกำหนดปริมาณสาร THC และ CBD ได้ตามความต้องการ เพราะ Cannabis สามารถผสมข้ามสายพันธุ์ได้ มีผลต่อปริมาณสารสกัด Cannabinoid ด้วย ถ้าไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ อาจจะต้องรื้อถอนทั้งฟาร์มกัญชา
คุณเผ่าบอกว่า ปัจจัยเรื่อง Legalisation ทำให้ ‘หุ้นกัญชา’ มีแรงส่งที่ดี ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 เป็นต้นมา เพราะทุกธุรกิจก็คาดหวังว่า เมื่อกัญชาถูกกฎหมาย สามารถเพาะปลูกกัญชาได้แพร่หลาย ขายสินค้าได้มากขึ้น มีผู้ใช้เยอะขึ้น
อีกประเด็นหนึ่งที่คาดว่า มีส่วนช่วยหนุน ‘หุ้นกัญชา’ คือรายได้ยังโตได้อีกมาก มีกระแสเงินสดดี มีกำไรเป็นบวก ซึ่งเริ่มเห็นทิศทางนี้มาช่วงปี 2563 แต่ราคาหุ้นแต่ละตัวยังไม่แพง โดย 12 เดือนย้อนหลัง รายได้ ‘หุ้นกัญชา’ โต 49.64%
แต่ที่ก่อนหน้านี้ช่วงปี 2560-2562 รายได้ ‘หุ้นกัญชา’ ลดลงเฉลี่ย 4.76% เพราะกัญชายังจัดอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ เกิดจากเทรนด์การปลดล็อกให้ถูกกฎหมาย แน่นอนว่า นักลงทุนก็คาดหวังการเติบโตสูง แต่ธุรกิจยังเพิ่งเริ่มต้น ต้องใช้เงินลงทุนเยอะ ต้นทุนการผลิตสูง ผลประกอบการยังไม่ดี เมื่อราคาหุ้นไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกับผลประกอบการช่วงนั้น จึงเกิดเหตุการณ์ฟองสบู่ระยะนึง ทำให้หุ้นกัญชาลงแรง
แต่คุณเผ่ามองว่า ธุรกิจกัญชาในปีที่ผ่านมามีความน่าสนใจ เพราะผ่านสภาวะฟองสบู่มาแล้ว ผลประกอบการหุ้นแต่ละตัวก็มีทิศทางที่ดี แต่ราคายังไม่ขึ้นตามปัจจัยพื้นฐานที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้แต่ละบริษัทที่ทำธุรกิจกัญชาต่างเริ่มมีข่าวดี เช่น Aphria กับ Tilray ควบรวมกิจการการกัน GW Pharmaceuticals เริ่มทดสอบตัวยาที่พัฒนาจากกัญชา และมีการเข้าซื้อกิจการเพาะปลูกกัญชาเพิ่มเติม แม้กระทั่ง Tilray เองก็เข้าไปทำฟาร์มกัญชาในโปรตุเกส วางแผนที่จะใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจำหน่ายในสหภาพยุโรป
แต่ที่ไม่ปกติ คือ ส่งผลให้หุ้น Tilray และ Aphria และตัวอื่นๆ พุ่งแรงในช่วงที่ผ่านมา คือ เกิดจากการสื่อสารผ่านเว็บบอร์ด WallStreetBets ในเว็บไซต์ Reddit ให้ซื้อหุ้นธุรกิจกัญชา เป็นกรณีคล้ายๆ กับ GameStop เมื่อราคาพุ่งแรง ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มต้องเกิดแรงเทขาย Options เพื่อรีบปิดสถานะ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระยะสั้นเท่านั้น อย่างหุ้น Tilray พุ่งสูงสุด 9 เท่าเลยทีเดียว มีผลทำให้ ETF หุ้นกัญชาพุ่งแรงด้วย อย่าง ETFMG Alternative Harvest ETF (MJ) ที่ Jitta Wealth เลือกมาเป็นบริการกองทุนส่วนบุคคล Thematic นั้น ราคาพุ่งขึ้นจากต้นปี 2564 มา 100% ตอนนี้ราคาลดลงมาแล้ว 20% ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะถือทั้ง Tilray และ Aphria ในสัดส่วนหุ้นละ 10%
คุณเผ่าบอกว่า พื้นฐานอุตสาหกรรมกัญชาทั่วโลกยังมีข้อได้เปรียบทางการแข่งขันอยู่ เพราะโอกาสปลดล็อกให้ถูกกฎหมายที่น่าจะเห็นอีกหลายประเทศทั่วโลก และจะนำไปสู่การพัฒนาไปสู่ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เครื่องสำอาง เครื่องดื่ม อาหาร และขนมขบเคี้ยวในอนาคต
สิ่งที่เราต้องดูต่อคือ โอกาสเติบโตของอุตสาหกรรมกัญชายังไปต่อในอีก 10-20 ปีหรือไม่ เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมคล้ายๆ กันที่มีมาก่อนอย่างบุหรี่และแอลกอฮอล์ ต้องมาวัดที่ Market Cap ผลประกอบการ ผลกำไรของหุ้นเหล่านี้ แล้วค่อยประเมินอนาคตของ ‘หุ้นกัญชา’ ว่าจะไปได้ถึงจุดเดียวกันได้หรือไม่?