Jitta Wealth ให้ความสำคัญกับข้อสงสัย ข้อกังวล และความต้องการของคุณที่วางใจให้เราบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคล เราจึงจัด Webinar รายไตรมาส Investor Exclusive ขึ้นมา เพื่อให้คุณได้มีโอกาสได้พูดคุยกับคุณตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO ของเราอย่างใกล้ชิด
หากคุณพลาดการเข้าร่วมชมสด Webinar ผ่าน Zoom คุณสามารถติดตามชมย้อนหลังได้ทาง YouTube
Jitta Wealth เชื่อในแนวคิดของ Warren Buffett ที่ว่า ‘การทำนายว่าฝนจะตกตอนไหนไม่ช่วยอะไร สิ่งที่สำคัญคือการสร้างเรือให้แข็งแรง’ หมายถึง คุณไม่จำเป็นต้องทำนายแนวโน้มของตลาดหุ้นว่าจะขึ้นหรือลง เพราะไม่มีใครสามารถทำนายตลาดหุ้นได้ถูกต้อง เช่นเดียวกับสถานการณ์ภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ภาวะเงินเฟ้อ การขึ้นอัตราดอกเบี้ย โรคระบาด หรือข่าวสารแง่ลบอื่นๆ
สิ่งที่คุณควรโฟกัสคือ ‘พอร์ตลงทุนที่แข็งแกร่ง’ ที่สามารถรับมือกับความผันผวนในตลาดหุ้นได้ และหากเกิดผลกระทบจะสามารถกลับมายืนจุดเดิมได้อีกครั้ง หากพอร์ตลงทุนของคุณแข็งแกร่งมากพอ ต่อให้เกิดภาวะทางเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้นผันผวน พอร์ตลงทุนของคุณก็จะยังสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างแน่นอน
สำหรับธีมธุรกิจที่น่าลงทุน คือ อยู่ในจุดเริ่มต้นของเมกะเทรนด์ ช่วง Early Adopter และ Early Majority เนื่องจากอยู่ในช่วงที่เริ่มมีรายได้เข้ามาและกำลังเติบโต แต่หลายๆ ธุรกิจยังติดข้อกำหนดหรือข้อบังคับทางกฎหมาย ในอนาคตหากธุรกิจสามารถหลุดข้อจำกัด ทำให้ผู้คนใช้สินค้าและบริการกันอย่างแพร่หลาย จะทำให้ธีมเมกะเทรนด์ดังกล่าวโตขึ้นแบบก้าวกระโดด
ธีมที่อยู่ในช่วง Early Majority จะเริ่มเติบโตขึ้นและสร้างผลตอบแทนเป็นอย่างดี และแม้ว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ จะไม่ส่งผลกระทบต่อธีมเมกะเทรนด์มากและยังจะเติบโตต่อไปได้
เมื่อคุณเห็นว่าราคาหุ้นในธีมที่อยู่ใน 2 ช่วงนี้ปรับตัวลง หากคุณมีความเข้าใจและมั่นใจในสินทรัพย์ จะเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเพิ่มทุน เพราะจะซื้อได้ในช่วงราคาที่ถูกและทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นในอนาคต
เป็นธีมธุรกิจที่มาแรงมาก และขยายตัวมาโดยตลอด บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลก ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจมาพัฒนาระบบคลาวด์ และเห็นศักยภาพเติบโตอย่างชัดเจน คลาวด์ได้กลายมาเป็นเทคโนโลยีที่ผู้คนใช้กันทั่วโลก ปัจจุบันธุรกิจอินเทอร์เน็ตจะมีระบบคลาวด์เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ เนื่องจากการเก็บข้อมูลในระบบคลาวด์สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา และช่วยประหยัดต้นทุนให้กับบริษัทเทคโนโลยีได้มหาศาล
เป็นธีมธุรกิจที่เติบโตมานานมาก มีมูลค่าธุรกิจอัตราการเติบโตที่ 11.7% ต่อปี ปัจจุบันผู้คนเริ่มเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ทำให้ฟินเทคสามารถเข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้น และเป็นเทคโนโลยีที่ผู้คนใช้กันเป็นปกติ
เทรนด์ในฟินเทคที่นิยมมากในปัจจุบัน ได้แก่ ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง (Buy Now Pay Later) คริปโทเคอร์เรนซี คลาวด์แบงก์กิง บริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) และการให้กู้ยืมโดยไม่ผ่านตัวกลาง (Peer-to-peer Lending)
จำนวนของสตาร์ตอัปฟินเทคทั่วโลกโตขึ้นเป็นจำนวนมากในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา มีบริษัทด้านฟินเทคเกิดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ธีมธุรกิจแข็งแกร่งมากขึ้น และเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคให้สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างสะดวกสบายในปัจจุบัน
จีโนมิกส์เป็นธีมธุรกิจที่มีความต้องการมาก หากประเทศต่างๆ สามารถใช้นวัตกรรมจีโนมิกส์ในการรักษา จะทำให้ธีมนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันต้นทุนการรักษาในรูปแบบจีโนมิกส์ลดลงเรื่อยๆ หมายความว่า ผู้คนสามารถเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น และจะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ไปอย่างสิ้นเชิง ธีมจีโนมิกส์ถูกคาดการณ์ว่า มูลค่าจะเติบโตถึง 72,130 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2574
พลังงานรูปแบบเดิมเริ่มไม่เพียงพอต่อความต้องการ และพลังงานทางเลือกที่กำลังมีบทบาทมากขึ้นคือ ‘พลังงานสะอาด’ ต้นทุนสินค้าที่เกี่ยวข้องกับธีมพลังงานสะอาดมีราคาลดลงเรื่อยๆ ในทุกปี ทำให้ผู้คนเริ่มหันมาใช้พลังงานสะอาดกันมากขึ้น
พลังงานสะอาดเป็นเทรนด์ที่ทั่วโลกให้ความร่วมมือ เพื่อลดมลภาวะที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมีเป้าหมายอย่างชัดเจนว่า จะเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานแบบดั้งเดิม ไปเป็นพลังงานสะอาดในอนาคต จีนเป็นประเทศที่ใช้พลังงานสะอาดมากที่สุด และกระจายสินค้าที่เกี่ยวข้องพลังงานสะอาดไปทั่วโลก
Metaverse เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นส่วนผสมของหลายธุรกิจ เช่น โซเชียลมีเดีย เกม คลาวด์ และอีคอมเมิร์ซ ปัจจุบันบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกพยายามสร้างประสบการณ์รูปแบบใหม่ให้กับผู้ใช้งานได้สมจริงมากขึ้น ทำให้เกิดโลกเสมือนจริงขึ้นมาโดยรวมสิ่งต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน
Metaverse เป็นเทคโนโลยีที่น่าจับตามองมาก เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทุ่มทุนมหาศาลในการพัฒนา และคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาด Metaverse จะโตถึง 814,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2571 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 43.8% ต่อปี เนื่องจากบริษัทต่างๆ เร่งการพัฒนาเทคโนโลยี Metaverse ให้ออกมาสมบูรณ์แบบมากที่สุดเพื่อรองรับจำนวนผู้ใช้งานคนทั่วโลกที่กำลังรอเทคโนโลยีนี้
หากต้องการลงทุนในตลาดจีนตอนนี้ โอกาสขาดทุนยิ่งมีน้อยลลง หากขาดทุนก็จะไม่ขาดทุนมาก เพราะราคาโดยรวมของตลาดตกลงมามาก แต่หากมองไปที่ภาพรวมของจีน เศรษฐกิจจีนไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศอื่นเลย
ภาพรวมของตลาดหุ้น คนก็เริ่มกลับมาทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจแล้ว หุ้นบริษัทใหญ่ๆ อาจจะตกลง จากการเข้ามาควบคุมของรัฐบาลจีน แต่หุ้นบริษัทเล็กๆ ก็ยังเติบโตอยู่ สาเหตุที่รัฐบาลจีนเข้ามาควบคุมไม่ให้ตลาดร้อนแรงจนเกินไปนั้น เพราะเกรงว่ามูลค่าของหุ้นบางตัวจะเป็นฟองสบู่ ซึ่งเป็นการควบคุมอย่างสมเหตุสมผล และการเติบโตของ GDP ก็ล้อไปกับการเติบโตที่แท้จริง 6-7% ต่อปี ถือว่าตลาดหุ้นจีนยังน่าสนใจอยู่ ‘หุ้นดีราคาถูก’ ถือว่าตอนนี้เป็นโอกาสเข้าซื้อ หากลงทุนระยะยาวอีก 3 ปีข้างหน้า
ผลตอบแทน 16% ต่อปีถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ Jitta Wealth ทำ Back Test และมั่นใจในการทำงานของ AI และอัลกอริทึมในการคัดเลือกหุ้นเทคโนโลยีที่มีโอกาสเติบโต ผลตอบแทนทำได้สูงกว่านี้ เช่น 20% คุณสามารถเพิ่มทุน เพื่อกระจายความเสี่ยงด้านต้นทุนราคาหุ้นได้
หากมองที่พื้นฐานของตัวธุรกิจกัญชายังมีพื้นฐานที่ดี ราคาหุ้นยังคงเติบโต แต่ยังอยู่ในช่วงแรกๆ ของการเติบโตหรือ Early Adopter
เวลาที่คุณลงทุนในธีมธุรกิจ นอกจากพื้นฐานของหุ้นบริษัทแล้ว คุณควรทำความเข้าใจไปถึงภาพรวมของธีมธุรกิจนั้นๆ ว่าอยู่ในช่วงไหนของการเติบโต ช่วง Early Adopter และ Early Majority ยังมีความผันผวนสูง มีโอกาสที่คุณจะเข้าลงทุนในช่วงที่ราคาสูง แนะนำว่า ถ้าคุณยังเชื่อมั่นในศักยภาพของธีมธุรกิจควรเพิ่มทุนเพื่อเฉลี่ยราคา
หากมองภาพใหญ่ การลงทุนมีสินทรัพย์หลายประเภท และมีความเสี่ยงมากน้อยแตกต่างกันไป คริปโทเคอร์เรนซี เป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่มีความเสี่ยงสูง การลงทุนอะไรก็ตาม คุณควรมีความรู้ความเข้าใจในสินทรัพย์ที่จะลงทุน ประเมินความเป็นไปได้ต่างๆ ในสินทรัพย์ เข้าใจจุดซื้อ จุดขาย และเครื่องมือที่คุณจะใช้ในการประเมิน
Jitta Wealth ยังคอยติดตามความเคลื่อนไหวของคริปโทเคอร์เรนซี แต่ยังมีความเสี่ยงสูงและผันผวนสูง ในสหรัฐฯ ก็ยังไม่มี ETF (Exchange Traded Fund) ที่ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีโดยตรง หากไม่นับที่เป็น Futures ETF
หากทุ่มลงทุนไปในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง ยังมีความผันผวนสูง ควรมีการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตลงทุน แนวทางของ Jitta Wealth ลงทุนในหุ้นคุณค่า และ ETF ที่มีโอกาสเติบโต มีการจัดพอร์ตลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยงที่ดี คุณสามารถมั่นใจได้ว่า พอร์ตจะมีการเติบโตในระยะยาว 3-5 ปี หรือนานกว่านั้น
จริงๆ ส่งผลกระทบในทุกอุตสาหกรรม แต่จะไม่มากเท่าปี 2563 เพราะนักลงทุนไม่ได้ตกใจกับวิกฤตนี้เท่าที่ผ่านมา รวมไปถึงมีประสบการณ์และบทเรียนในการรับมือแล้ว
หากมองภาพรวมบริษัทต่างๆ ในธีม Travel Tech ก็จะสามารถผ่านวิกฤตมาได้ ไม่มีบริษัทไหนล้มหายตายจาก รายได้อาจจะลดลง แต่ก็จะกลับมาเติบโตเมื่อเปิดประเทศ คลายล็อกดาวน์ มองว่า ราคา ETF ที่ลดลง เป็นโอกาสให้เพิ่มทุน
การทำงานของ AI จะดูจาก 3 ปัจจัย คือ การเติบโตของบริษัทใน ETF ผลตอบแทนย้อนหลังของ ETF และความผันผวนของ ETF ไม่ได้วัดราคา ETF ว่า ราคาถูกหรือแพงกว่าพื้นฐาน
Jitta เป็นสตาร์ทอัปที่เริ่มมีการเติบโตที่ดี เป็นธุรกิจที่เกือบสมบูรณ์แล้ว จุดมุ่งหมายของเราคือ ผลประโยชน์ของลูกค้าสำคัญที่สุด ออกแบบกองทุนส่วนบุคคลที่สรา้งผลตอบแทนที่ดี ด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำ
หากใครจะเข้ามาซื้อกิจการ หรือควบรวมดีล M&A (Mergers & Acquisitions) Jitta จะพิจารณาดูว่า ผู้ร่วมทุนสามารถเข้ากับภารกิจขององค์กรและประโยชน์ของลูกค้าสำคัญที่สุดได้หรือไม่ เพราะเป็นโมเดลธุรกิจที่ Jitta ตั้งไว้แต่แรก ผู้ก่อตั้งและพนักงานใน Jitta ยังสนุกกับการสร้างอะไรใหม่ๆ หาสิ่งใหม่ๆ เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับลูกค้าอยู่
หลักการ DCA ขึ้นอยู่กับว่า คุณต้องการกระจายความผันผวนไปนานแค่ไหน 1 ปี 2 ปี หรือมากกว่านั้น เพื่อให้การลงทุนของคุณคลอบคลุมกับระยะเวลาและความผันผวนที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ต่อให้จะเกิดเหตุการณ์อะไร ธุรกิจก็ยังเดินต่อได้ โดยมีวิธีการดังนี้
อย่างไรก็ตามการลงทุนทุกๆ เดือน จะช่วยความผันผวน เฉลี่ยต้นทุนให้ต่ำลง และทำให้ผลตอบแทนในพอร์ตลงทุนเป็นบวกได้
หลักการ DCA คือ หากคุณไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้ วิธีทยอยลงทุนจะทำให้คุณสบายใจ เพราะความรู้สึกวุ่นวายใจ ไม่มั่นใจในสินทรัพย์ที่เลือก จะขัดต่อการลงทุนระยะยาว
ส่วนกองทุนรวมที่ลงทุนไว้ ถ้าคุณยังมั่นใจในสินทรัพย์และผลตอบแทน สามารถลงทุนต่อ แต่ถ้าคุณไม่มั่นใจแล้ว ก็ควรถอนการลงทุนออกมา ไม่ว่าจะมีกำไรหรือขาดทุน เพราะหากยังลงทุนในสินทรัพย์เดิมอยู่ อาจจะเสียโอกาสในการหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
ตามทฤษฎีมีโอกาสที่หุ้นจะซ้ำกัน เพราะ Jitta Ranking สหรัฐฯ คำนวณทั้งตลาดหุ้น แต่เทคโนโลยีสหรัฐฯ คัดหุ้นเข้ามา 400 บริษัท แต่โอกาสเกิดหุ้นซ้ำกันน้อย เพราะมีการคำนวณ Valuation ด้วย ดังนั้น Jitta Ranking สหรัฐฯ หุ้นที่ติดอันดับยังเป็นหุ้นในธุรกิจดั้งเดิม มูลค่ากิจการน้อยกว่าหุ้นเทคโนโลยี แต่มีกระแสเงินสดดี ถ้าจะมีเข้ามาติดอันดับ ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ บริษัทเทคโนโลยีรายเล็ก โอกาสเข้ามาติดอันดับ Jitta Ranking สหรัฐฯ ยาก
ส่วน Jitta Ranking อินเดีย ยังติดกฎเกณฑ์การถือครองหุ้นจากชาวต่างชาติ ต้องรอให้ทางสำนักงาน ก.ล.ต. อินเดียคลายกฎประเด็นนี้ ส่วน Jitta Ranking ในยุโรป มีความเป็นไปได้สูงมาก และกำลังวางแผน คาดว่า จะเลือกสหราชอาณาจักร เพราะอัลกอริทึมคำนวณผลตอบแทนย้อนหลังทำได้ดีมากๆ
SSF เป็นกองทุนรวม ซึ่งต้องมีใบอนุญาตการจัดการกองทุนรวม ส่วน Jitta Wealth มีใบอนุญาตการจัดการกองทุนส่วนบุคคล ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต.
การบริหารกองทุนส่วนมีความหลากหลายในการเลือกสินทรัพย์ลงทุนมากกว่า ขณะที่กองทุนรวมเป็นการระดมเงิน มีผลกระทบวงกว้าง ดังนั้นความยืดหยุ่นในการลงทุนแตกต่างกัน
กองทุนรวม SSF ทำมาเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี เบื้องหลังอาจจะคิดค่าธรรมเนียมอาจจะสูงกว่ากองทุนรวมทั่วไป หรือกองทุนส่วนบุคคล ปัจจัยควรเลือกจัดพอร์ตลงทุน ควรดูที่สินทรัพย์ ผลตอบแทน และค่าธรรมเนียมเป็นหลัก หากเป็นการลงทุนระยะยาว อาจจะคุ้มกว่ากองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีประหยัดได้
เศรษฐกิจเวียดนามมีศักยภาพในการเติบโต แม้ว่าจะเผชิญกับวิกฤต Covid-19 ถ้าคุมการระบาดได้ ก็จะเติบโตได้สูง 5% 6% หรือ 7% ต่อปี แต่ถ้าคุมไม่ได้ เศรษฐกิจอาจจะโตลดลงเหลือ 2% เพราะปัจจัยพื้นฐานของเวียดนามคือ เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติมาจากนโยบาย เช่น China+1 จากสงครามการค้า บริษัทเกาหลีใต้มีฐานการผลิตเวียดนาม และกำลังซื้อชนชั้นกลางที่ขับเคลื่อนให้ภาคการอุปโภคบริโภคเติบโต ถ้าขยายตัวมากขึ้น ธุรกิจการบริการต่างๆ จะเติบโตขึ้น เปิดการท่องเที่ยว ประชาชนเริ่มฝากและกู้เงิน
ด้านตลาดหุ้นเวียดนาม ดัชนีจะไปถึงจุดไหน หรือปรับฐานเมื่อไร เป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ยาก แต่ในภาพใหญ่ๆ ราคาหุ้นยัง Undervalued และน่าลงทุน นอกจากนี้เวียดนามจะถูกปรับขึ้นมาเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) ในอนาคต จำเป็นต้องปรับปรุงสัดส่วนการถือครองหุ้นของคนต่างชาติ (Foreign Ownership Limit – FOL) เพื่อรองรับกับกระแสเงินทุน
สิ่งที่ท้าทายตลาดหุ้นเวียดนาม คือ ดัชนี VNI ขึ้นแรงๆ มาตลอด 2 ปี ทำให้ปี 2565 อาจจะแผ่วลงบ้าง แต่ถ้าเป็นการลงทุนระยะยาว ยังลงทุนต่อได้ ไม่ใช่ความเคลื่อนไหวน่ากลัวหรือเกิดฟองสบู่ แต่การขึ้นแรงๆ ในโลกการลงทุนต้องเผื่อใจไว้บ้าง เพราะมีโอกาสที่ดัชนีจะผันผวนและเผชิญปัจจัยที่ยังคาดการณ์ไม่ได้อีกมาก
การลงทุนได้หลายๆ พอร์ต คือ กระจายความเสี่ยง หากจะเลือกเพิ่มอีก 1 พอร์ต Jitta Ranking เทคโนโลยีสหรัฐฯ กับจีนจะเหมาะกับการลงทุนในระยะยาว เพราะเทคโนโลยีมีการเติบโตที่แน่นอนและกำลังจะแย่งส่วนแบ่งตลาดจากธุรกิจแบบเดิมๆ ส่วนหุ้นจีน เป็นตลาดหุ้นใหญ่ มีทั้งบริษัทดั้งเดิมและบริษัทเทค มีโอกาสเติบโตในอนาคตเช่นเดียวกัน
ส่วน Jitta Ranking เวียดนาม ในระยะ 5-10 ปียังมีโอกาสเติบโต แต่ในอนาคตมีความไม่แน่นอน หากไม่มีธุรกิจใหม่ๆ มาดันดัชนีตลาดหุ้น จะทำให้ศักยภาพส่วนนี้ เวียดนามแพ้สหรัฐฯ และจีนที่มีธุรกิจใหม่ๆ ธุรกิจเทคโนโลยี และมีศักยภาพขยายธุรกิจไปได้ทั่วโลกมากกว่า
ประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นนับว่าผ่านมาเยอะมาก อย่างตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการเติบโตเฉลี่ย 6-7% ต่อปีในระยะยาว ระหว่างหุ้นกับอสังหาริมทรัพย์ แต่ละสินทรัพย์มีคาแรกเตอร์คนละแบบ อย่างอสังหาริมทรัพย์ สภาพคล่องต่ำกว่า แต่เป็นเครื่องมือในการทำ Leverage เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น
ในปัจจุบันมีการลงทุนผ่าน ETF ทำให้มีโอกาสลงทุนในหุ้นดีๆ รวมไปถึง REIT (Real Estate Investment Trust) และหุ้นบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มโอกาสให้คุณได้ส่วนต่างราคาจากการลงทุน (Capital Gain) โดยที่คุณไม่ต้องเสี่ยงไปเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ในทำเลดีๆ ซึ่งยากกว่ามาก
ทางเลือกที่ดี คือ ETF ที่เป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดีพอ แต่ต้องรับความผันผวน เพราะคุณเห็นราคารายวัน ไม่เหมือนอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นโฟกัสที่ผลตอบแทนระยะยาว มั่นใจในคุณภาพสินทรัพย์ที่ยังเติบโตอยู่
ส่วนกรณีที่เกิดวิกฤตแรงๆ คือ ทุนนิยมล่มสลาย ตลาดหุ้นเป็นทุนนิยม มีการแข่งขันกัน แต่โอกาสเกิดขึ้นน่าจะน้อยมากๆ เพราะเรารู้ว่า ทุนนิยมขับเคลื่อนเศรษฐกิจดีกว่า ให้รัฐบาลควบคุมได้ในระดับหนึ่ง เชื่อว่า การลงทุนในตลาดหุ้นยังมีโอกาสเติบโตต่อไป แค่ควรเลือกลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพ เช่น สหรัฐฯ จีน หรือเวียดนาม อย่าง Jitta Ranking ยังน่าลงทุน หุ้นไทยยังจัดว่า โตช้ากว่าใคร เพราะเศรษฐกิจโตต่ำ แต่การเลือก ‘หุ้นดีราคาถูก’ ทำให้ผลตอบแทนจากหุ้นไทยทำได้ดี แต่อาจจะโตน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ
ปี 2563 Jitta ปรับอัลกอริทึมการคำนวณหุ้นเทคโนโลยี เนื่องจาก Jitta Score น้อยเมื่อเทียบกับหุ้นดั้งเดิม โดยหุ้นเทคโนโลยีส่วนใหญ่ ไม่ทำกำไร แต่มีกระแสเงินสดเข้ามาเยอะ ด้วยเงื่อนไขการทำบัญชี ทำให้กำไรติดลบ จึงเปลี่ยนรูปแบบการคำนวณ ปรับตัวเลขต่างๆ กำไร รายได้ และกระแสเงินสด เพื่อให้สอดคล้องกับคุณภาพกิจการเทคโนโลยี ซึ่งตัวเลขจริงๆ ไม่แย่
อย่างสตาร์ตอัปเทคโนโลยี เข้าตลาดหุ้นจะมุ่งเน้นการทำกำไรสูงๆ ไว้ก่อน จะทำให้ Jitta Score สูงขึ้นมาได้ แต่ Jitta มีหลักการดำเนินธุรกิจแบบ Jeff Bezos CEO ของ Amazon คือ กำไรเรื่องรอง เน้นเอากำไรไปสร้างประโยชน์ให้ผู้ใช้งานก่อน สร้างระบบนิเวศน์ (Ecosystem) ที่แข็งแรง เพิ่มบริการที่ตอบโจทย์ ซึ่งจะทำให้อีก 10 ปีข้างหน้า รายได้ก็จะโตมากขึ้น เพราะบริการที่ดีพอ จะเป็น Barriers to Entry ที่ใครๆ จะเข้ามาแข่งได้ยาก ดังนั้น Jitta มองในเชิงการสร้างคุณค่ามากกว่าบริษัทอื่นๆ ไม่ได้คำนึงถึงการสร้างกำไรสูงๆ เพียงอย่างเดียว
Exclusive Q&A with CEO อัปเดตการลงทุน Jitta Wealth เดือนตุลาคม
Exclusive Q&A with CEO อัปเดตการลงทุน Jitta Wealth เดือนกันยายน