Investor Exclusive ของ Jitta Wealth ประจำเดือนธันวาคม 2566 Live สดของคุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO และคุณอ้อ พรทิพย์ กองชุน CGO ของ Jitta Wealth กับ Live สุดท้ายของปี 2566 มาเตรียมตัวก่อนปีใหม่ ปรับพอร์ตอย่างไรให้รุ่งต้อนรับปีมังกรกัน
หากคุณสนใจอยากรับชม Live ของเราแบบสดๆ ในโอกาสต่อไปติดตามเราได้ที่ Facebook หรือ Youtube ของ Jitta Wealth ได้เลย
คุณเผ่า: การลงทุนมีทั้งปัจจัยที่เราควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ ซึ่งต้องยอมรับว่าในโลกการลงทุนปัจจัยส่วนมากเป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ค่อยได้ เช่น รัฐบาลปรับเปลี่ยนนโยบาย หรือแม้กระทั่งภาวะสงครามที่เกิดขึ้น
แต่สิ่งที่เราควบคุมได้ก็คือหลักการลงทุน วินัยในการลงทุน วินัยในการปรับพอร์ต ซึ่งทุกปลายปีสิ่งที่เราควรทำก็คือการนั่งพิจารณา 2 ปัจจัยเหล่านี้คือ ปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ในปีนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วสิ่งที่เราควบคุมได้เราทำได้ดีหรือไม่
แต่ปกติแล้วปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้มักส่งผลกับการลงทุนของเราในระยะสั้นๆ แต่ถ้าหลักการลงทุนของเราดี ปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้จะมีผลน้อยลงไปเรื่อยๆ ในการลงทุนระยะยาว
Warren Buffett เคยพูดเอาไว้ว่า เวลาที่เราลงทุนในบริษัทที่ดี อย่าไปโฟกัสที่การขึ้นลงของราคาสินทรัพย์ในระยะสั้นมาก แต่ให้ดูที่มูลค่าของสินทรัพย์ที่เราลงทุน ถ้ามูลค่ามันเติบโตขึ้น ราคาจะลงก็ไม่เป็นอะไร เพราะวันหนึ่งราคาจะขึ้นไปตามมูลค่าเอง
คุณอ้อ: งั้นเราลองมาดูภาพใหญ่ของเศรษฐกิจปี 2566 กันก่อนดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
คุณเผ่า: ในปี 2566 คนส่วนมากอาจจะรู้สึกว่าการลงทุนมันยาก มันอึดอัดมาก ผมมองว่ามันเป็นผลกระทบหนึ่งจากปี 2565 ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกตกลงมาเยอะ ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งก็เป็นปกติอยู่แล้วที่จะเป็นสาเหตุให้ตลาดหุ้นตกลงมา ถ้าให้นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 Fed ขึ้นดอกเบี้ยไปกว่า 11 ครั้ง ตอนนี้อยู่ในระดับ 5.25-5.50% ซึ่งถือว่าสูงมาก แต่ถ้ามองจริงๆ อย่างตลาดหุ้นสหรัฐฯ ล่าสุด S&P 500 ก็ทำ New High ส่งท้ายปีไปเรียบร้อยแล้ว
ในปีนี้พอหมดความกังวลเรื่องดอกเบี้ยของ Fed และ สถานการณ์เงินเฟ้อที่ดีขึ้นหุ้นกำลังขึ้นมาดีๆ ก็มีสงครามเกิดขึ้นอีกซึ่งกระทบกับตลาดหุ้นเป็นธรรมดา ทำให้ภาพรวมของปีนี้ นักลงทุนเองก็รู้สึกอึดอัดกับการลงทุนในหุ้นเพราะความผันผวนที่มี
จริงๆ แล้วถ้ามองตลาดหุ้นในปีนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ของนักลงทุนที่ยังกล้าๆ กลัวๆ อยู่จากความผันผวนขึ้นลง นักลงทุนก็เข้าๆ ออกๆ
ตลาดหุ้นไทยก็ทำ New Low นักลงทุนไทยก็ตัดสินใจไม่ได้ไม่รู้ว่ามันจะไปในทิศทางไหนเช่นเดียวกัน
คุณอ้อ: เรียกได้ว่านักลงทุนมีปัจจัยให้พิจารณาเยอะในการลงทุนในปีนี้ แล้วอย่างตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ที่น่าสนใจเช่น จีน เวียดนาม ญี่ปุ่น เป็นอย่างไรบ้าง
คุณเผ่า: เศรษฐกิจจีนในปีนี้ก็หนักไม่ต่างจากไทยเท่าไหร่ เรียกว่าลงแล้วลงอีก ซึ่งสาเหตุมาจากเงินลงทุนต่างประเทศไหลออกด้วย รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนก็เป็นเรื่องที่ทำให้จีนค่อนข้างหนักใจ แต่รัฐบาลจีนเองก็พยายามหามาตราการต่างๆ มาช่วยพยุงเต็มที่ เช่น รัฐบาลจีนปรับลด Loan Prime Rate 2 ครั้งในปีนี้ เพื่อกระตุ้นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ มีการเพิ่มการขาดดุลจาก 3% เป็น 3.8%
คุณอ้อ: แล้วตลาดหุ้นจีนเป็นตลาดหุ้นที่มีมูลค่าสูง ต่อให้รัฐบาลพยายามกระตุ้นทุกวิถีทางการเปลี่ยนแปลงอาจจะไม่ได้ส่งผลได้เร็วมากนัก แล้วมันเกิดขึ้นเฉพาะอุตสาหกรรมไหม
คุณเผ่า: จริงๆ จะแบ่งเป็น 2 ภาคคือ ภาคธุรกิจเป็นไปตามนั้นจริงๆ แต่ว่าภาคบริการ ภาคเทคโนโลยี ภาคอุตสาหกรรมใหม่ๆ ธุรกิจดีขึ้น รายได้ กำไรโตขึ้น แต่ราคาหุ้นลงทั้งตลาด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสลงทุนที่ดีก็ได้
คุณอ้อ: แล้วอย่างญี่ปุ่นเป็นอย่างไรบ้างในปีนี้
คุณเผ่า: หลายคนเมื่อตอนต้นปีก็ลงทุนญี่ปุ่นไป เพราะว่า Warren Buffett ลงทุนในญี่ปุ่นเยอะ ในปีนี้เงินเยนอ่อนค่าลง 11% ตั้งแต่ต้นปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ นักลงทุนก็รู้สึกว่านี่เป็นโอกาสในการลงทุนในญี่ปุ่น แต่อุปสรรคอย่างหนึ่งของการลงทุนในญี่ปุ่นคือ ข้อมูลที่เป็นภาษาอังกฤษมีจำกัด แต่ถ้าใครที่อยากลงทุนญี่ปุ่นด้วยตัวเองก็สามารถดูข้อมูลที่ Jitta ได้ มีข้อมูลภาษาอังกฤษให้เรียบร้อย
อีกเรื่องของตลาดหุ้นญี่ปุ่นในปีนี้คือ หุ้นบริษัทใหญ่ๆ ที่มี Market Cap สูงๆ ขึ้นสูงกว่าหุ้นที่มี Market Cap น้อยๆ ทำให้ใครที่ลงทุนในบริษัทเล็กๆ อาจจะแพ้ดัชนีไปได้
คุณอ้อ: มาที่เวียดนามเพื่อนบ้านเราหน่อยค่ะ ปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง
คุณเผ่า: ปีนี้มีช่วงที่ขึ้นๆ ลงๆ บ้างแต่โดยรวมแล้วถือว่าดี เหมือนที่ทุกคนทราบกันดีว่าศักยภาพของเวียดนามยังเติบโตได้ดีอยู่ นักลงทุนต่างชาติก็เรียกได้ว่าเดินแถวเข้าไปลงทุนในเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงงาน การผลิตชิป เพราะปัจจัยเรื่องค่าแรงที่ยังถูก และศักยภาพของคนที่มีความสามารถ
คุณอ้อ: กลับมาที่ไทย เขาว่ากันว่าตอนนี้เป็นตลาดหมีเรียบร้อยแล้ว จริงหรือไม่
คุณเผ่า: ถ้าจะให้พูดจริงๆ ตอนนี้ก็อาจจะสามารถเรียกได้ว่าตลาดหมี (Bear Market) ได้แล้ว เพราะลงมากกว่า 20% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถ้าเรามาดูสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยลงหนักๆ เพราะโอกาสต่างๆ มองไม่ค่อยเห็น เช่น ถ้าดูหุ้นใหญ่ๆ ในไทยตอนนี้กับเมื่อ 10 ปีที่แล้วแทบจะเป็นหุ้นหน้าเดิมๆ ซึ่งโดยปกติแล้วตลาดอื่นๆ จะมีบริษัทหน้าใหม่ที่เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ
แต่จริงๆ แล้วประเทศไทยยังมีอะไรดีๆ อีกเยอะแค่ต้องหาจุดเด่น จุดโปรโมทในธุรกิจนั้นๆ
คุณอ้อ: ซึ่งจริงๆ แล้วจากผลสำรวจต่างๆ ประเทศไทยยังเป็นจุดหมายสำคัญในการท่องเที่ยวที่ติดอันดับ 1 ใน 10 อยู่ ถ้านโยบายต่างๆ มาดันตรงนี้มากขึ้น ก็จะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ทั่วโลก
คุณเผ่า: กลับมาที่ตลาดหุ้นนิดนึง อย่างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยที่เคยเติบโต พอหลัง Covid-19 ก็ไม่ได้เติบโตได้เท่าที่คิด เศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ก็ไม่ได้เติบโต บริษัทหลายแห่งเริ่มเติบโตช้าลงเรื่อยๆ ภาพรวมใหญ่ๆ เศรษฐกิจในประเทศก็ไม่ได้เติบโต
พอมีการเปลี่ยนรัฐบาลด้วยนโยบายที่มียังไม่มีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งต้องมองในเรื่องนี้มากขึ้น
คุณอ้อ: แล้วปีหน้าสถานการณ์ต่างๆ จะเป็นอย่างไรบ้าง
คุณเผ่า: ขอใช้คำว่า สิ่งที่นักลงทุนคาดหวังว่าปีหน้าจะเกิดขึ้น ซึ่งถ้ามันไม่เกิดขึ้น ตลาดหุ้นก็มีแนวโน้มที่จะผันผวนหนักอีกรอบ ซึ่งสิ่งที่คาดหวังและมีโอกาสเกิดขึ้นเรื่องแรกคือ การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed น่าจะคงที่หรือลดลง หรือถ้าจะเพิ่มขึ้นต้องมีเหตุผลที่แข็งแกร่งพอมากระทบการตัดสินใจ แม้เงินเฟ้อจะยังเกินเป้าอยู่ แต่แม้ว่าตอนนี้ Fed จะยังคงดอกเบี้ยเอาไว้อยู่ ดัชนี S&P 500 ก็ไม่รอแล้ว ขึ้นนำไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่านักลงทุนจำนวนหนึ่งเชื่อว่า Fed น่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยอีก
ข่าวดีอีกเรื่องคือจีนและสหรัฐฯ มีการเจรจาและเป็นมิตรกันมากขึ้น ก็คอยติดตามสถานการณ์กันต่อไป สุดท้ายแล้วก็เหมือนที่พูดไปว่า การลงทุนมีทั้งปัจจัยที่เราควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ แต่ในปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เราก็ควรรู้เอาไว้ เพื่อให้มองเห็นว่า ความเป็นไปได้ในอนาคตอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เราจะได้วางแผนการลงทุนได้ถูกต้อง หรือหาโอกาสในการลงทุนได้ถูกต้อง
คุณเผ่า: นโยบายการลงทุนของ Jitta Wealth มีด้วยกัน 4 นโยบาย ประกอบไปด้วย Jitta Ranking, Global ETF, Thematic และใหม่ล่าสุดคือ Jitta Money ซึ่งแต่ละนโยบายก็มีแผนแยกย่อยลงไปอีก
คุณอ้อ: เรามาดูผลตอบแทนกันสักหน่อยว่าแต่ละแผนมีผลตอบแทนเป็นอย่างไรบ้าง
คุณเผ่า: ที่เห็นคือผลตอบแทนเฉลี่ย YTD ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึง 10 ธันวาคม 2566 จริงๆ ตั้งแต่ต้นปี ภาพรวมผลตอบแทนเป็นบวกเกือบทุกแผน ยกเว้นหุ้นจีน หุ้นไทย และหุ้นสุขภาพของสหรัฐฯ Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ +40.84% ซึ่งชนะดัชนีเกือบเท่าตัว ซึ่งตัวเลขนี้เป็นพอร์ตจริงโดยเฉลี่ยของนักลงทุนที่ลงทุนทั้งหมด ในส่วนของแผนที่ลงแรงที่สุดก็เป็น Jitta Ranking เทคโนโลยีจีน ที่ -39.71% ส่วน Global ETF แต่ละแผนที่เป็นลูกรักของทุกคนก็ให้ผลตอบแทนที่ดี อย่างแผนเติบโตจริงๆ แล้วเป้าคือ 8% ต่อปี ปีนี้ก็ทำผลตอบแทนไปได้ถึง +14.61%
โดยสรุปผลตอบแทนโดยรวมในปีนี้ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยเฉพาะคนที่ลงทุน Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ ก็ต้องขอแสดงความยินดีด้วยกับทุกๆ คน
คุณเผ่า: ยกตัวอย่างการลงทุนในดัชนี S&P 500 ตั้งแต่ปี 2543-2564 ในภาพจะเห็นว่า ถ้าเราลงทุนด้วยวิธีซื้อครั้งเดียว 10,000 บาท ระหว่างทางก็มีขึ้นลงบ้าง แต่สุดท้ายถ้าเราถือมาเรื่อยๆ 20 ปี จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ +5.66% ต่อปี จริงๆ ก็ต้องตอบว่าก็ไม่ได้แย่ ถ้าเทียบกับดอกเบี้ยฝากธนาคารถ้าเทียบกับดอกเบี้ยตอนโน่น แต่ถ้าคุณลงทุนแบบ DCA 10,000 บาทต่อเดือนจะเห็นว่าผลตอบแทนเฉลี่ยจะอยู่สูงถึง +9.59% ต่อปีเลยทีเดียว
และมันไม่ใช่แค่ผลตอบแทนทบต้นอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันเหมือนการสะสมเงินด้วย ลงทุนครั้งเดียว 10,000 บาทเมื่อผ่านไป 20 ปีจะมีเงินอยู่ในพอร์ต ประมาณ 30,000 กว่าบาท แต่ถ้าเรามีวินัย DCA ทุกเดือนนอกจากผลตอบแทนเฉลี่ยจะเยอะขึ้นแล้ว ยังได้สะสมเงินไปเรื่อยๆ ด้วย ผ่านมา 20 ปีเงินในพอร์ตจะอยู่ที่ 8 ล้านกว่าแล้วสุดท้ายมันจะทบต้นด้วย
ข้อดีของการ DCA ไปเรื่อยๆ คือการลดความผันผวนของพอร์ต ซึ่งถ้า DCA ไปเรื่อยๆ สักพักพอร์ตของคุณจะไม่ติดลบแล้ว แต่ก็ต้อง DCA ในสินทรัพย์ที่ดีและโตไปเรื่อยๆ ในอนาคตได้ด้วย
เราอาจจะควบคุมจังหวะในการลงทุนของเราไม่ได้ ซึ่งมันเป็นปัจจัยภายนอก แต่สิ่งที่เราควบคุมได้และจะทำให้พอร์ตของเราเติบโตไปได้คือ การใส่ปุ๋ย หมั่นเพิ่มเงินต้น DCA ไปเรื่อยๆ ทุกเดือน พอผ่านไป 10-20 ปี คุณจะตกใจกับผลตอบแทนทบต้นของการ DCA ของคุณ
คุณอ้อ: ซึ่งเราก็มีพอร์ตของนักลงทุนมาให้ดูกันด้วย
คุณเผ่า: นี่ก็คือตัวอย่างพอร์ตลงทุนของนักลงทุนของ Jitta Wealth ในกลุ่ม Community Jitta Wealth Official ใน Facebook ที่ลงทุนใน Thematic Optimize จะเห็นว่าแม้ว่าที่ผ่านมาหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ จะติดลบแต่เมื่อ DCA ไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นว่าพอร์ตกลับมาเป็นบวกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลตอบแทนรวมทั้งหมดจะอยู่ที่ +1.84% และผลตอบแทน YTD ของปีนี้จะอยู่ที่ +28.48%
เส้นที่เป็นเหมือนบันได จะเป็นเส้นที่เห็นว่านักลงทุนเจ้าของพอร์ต DCA สม่ำเสมอ มีวินัยสูงมาก แม้ว่าจะเห็นได้เลยว่า ในหลายๆ ช่วงที่ผ่านมาพอร์ตลงทุนติดลบ แต่ก็ยังมีวินัยเติมเข้ามาในพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของผลตอบแทนที่เป็นบวกคือ ปริมาณเงินต้นที่เพิ่มขึ้นจากวินัยในการ DCA ด้วย แล้วถ้าเป็นแบบนี้ถ้าปีหน้าหุ้นเทคโนโลยีกลับมาเยอะๆ ด้วยปริมาณเงินต้นที่มากขึ้นด้วย ผลตอบแทนก็จะได้มากขึ้นไปอีก นี่คือพลังของการ DCA
คุณเผ่า: นี่เป็นอีกพอร์ตตัวอย่างหนึ่ง Global ETF ที่มีการ DCA อย่างสม่ำเสมอก็จะเห็นว่าระยะยาวก็จะดี TWR +28.05% และ MWR +31.55% และถ้าดูจากกราฟช่วงที่หุ้นต้นหนักๆ พอร์ตนี้ก็แทบไม่ติดลบเลย
คุณอ้อ: ปีหน้าปีมังกร การลงทุนมีแนวโน้มอย่างไรบ้าง
คุณเผ่า: ถ้าพูดถึงว่า เราจะลงทุนอะไรที่ได้ผลตอบแทนเยอะๆ ถ้ามองในมุม VI คือ การลงทุนในประเทศที่วิกฤต ที่ถูกเทขายราคาลดลงมา แต่มูลค่าจริงยังดีอยู่ สิ่งที่เราลองศึกษาข้อมูลดูก็จะพบว่า ผลตอบแทนหลังวิกฤตของ Jitta Ranking จะดีมาก
เช่น อย่างตัวเลขที่เห็นคือหลังวิกฤต Covid-19 จะเห็นว่าผลตอบแทน Jitta Ranking ชนะดัชนีเยอะมากๆ
เพราะว่าพอเกิดวิกฤตคนเทขายหุ้นเยอะ เพราะฉนั้นถ้าเราเจอหุ้นดีราคาถูกมันก็จะวิ่งกลับมาได้เร็ว และถ้าถามว่าจะลงทุนประเทศไหนดี ก็ต้องบอกว่าประเทศที่หุ้นตกเยอะ ที่ยังเติบโตได้ดีและราคาถูก
คุณเผ่า: ส่วนตัวถ้าดูจากข้อมูลอันที่ดีราคาถูกและดี ก็คือประเทศจีน เพราะ GDP ยังดีและมีการเติบโตอยู่ จากสถิติที่ผ่านๆ มาถ้า 10 ปี หุ้นจะขึ้น 7 ปี ลง 3 ปี ตลาดหุ้นจีนลงมาแล้ว 3 ปีติด หุ้นจีนปัจจุบันการเติบโตยังมีอยู่ และราคาก็ค่อนข้างถูก
และถ้าเราไปดูเพิ่มเติมในหุ้นรายตัว หุ้นหลายตัวรายได้และการเติบโตยังดีอยู่ แต่ราคาต่ำลงในรอบหลายปี และมีปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ คือเมื่อไปดูหุ้นหลายๆ ตัว Market Cap ตกลงมาเยอะมากเพราะหุ้นตก ในขณะที่เงินสดเพิ่มขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น หุ้นสหรัฐฯ เช่น Apple Microsoft มี Market Cap ที่สูง แต่เงินสดถ้าเทียบกับ Market Cap อาจจะอยู่ที่ 5% แต่ปัจจุบันหุ้นจีนบางตัว มีเงินสดอยู่ประมาณ 20% ของ Market Cap แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าหุ้นจีนบางตัวตอนนี้ราคาถูกผิดปกติแล้ว
คุณอ้อ: ก็ถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่น่าจับตามอง
คุณเผ่า: แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ระดับหนึ่ง เพราะหลายๆ ตัวก็เหมือนยังลงไม่สุด แต่ว่าธุรกิจเขาอาจจะเติบโตขึ้น ซึ่งถ้าใครมีแผนจะลงทุนระยะยาวอยู่แล้วก็อาจจะเริ่มทยอยลงทุนไปเรื่อยๆ ได้แล้ว
อีกเรื่องที่ต้องติดตามคือต่างประเทศจะกลับไปลงทุนในหุ้นจีนหรือไม่
คุณอ้อ: มีตลาดไหนอีกไหมที่น่าลงทุน
คุณเผ่า: อีกประเทศหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือเวียดนาม ซึ่งจริงๆ ปีที่แล้วก็ลงมาระดับหนึ่ง และค่อยๆ กลับขึ้นมา โดยภาพรวม GDP ของเวียดนามเติบโตกว่า 5.8% อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก และกำลังเตรียมพร้อมเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ หรือตลาดหุ้นกำลังพัฒนา แสดงว่ามีโอกาสที่ในอนาคตเงินจะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเยอะขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงที่เป็นประเทศที่เรายังไม่สามารถลงทุนได้เต็มที่
แต่ถ้ามองในภาพรวม การเติบโตต่างๆ ก็ดูสมเหตุสมผล แต่ไม่ได้ดูราคาถูกมากเมื่อเทียบกับหุ้นจีน
และจริงๆ แล้วหุ้นสหรัฐฯ ก็เป็นอีกตลาดหุ้นที่ยังน่าสนใจ เพราะปีหน้ามีความเป็นไปได้ที่จะขึ้นต่อโดยเฉพาะ หุ้นเทคโนโลยีเล็กๆ
คุณอ้อ: เรามาดูผลตอบแทนของธีมเมกะเทรนด์กันบ้างดีกว่า ว่ามีธีมไหนของ Thematic น่าลงทุนบ้าง
คุณเผ่า: ผลตอบแทนของธีมเซมิคอนดักซ์เตอร์ก็แซงทุกธีมไปเลยที่ +65.24% เพราะเรียกได้ว่าเป็นเหมือนธีมขับเคลื่อนโลก ต่อมาคือ ธีมเมตาเวิร์สที่ปีที่แล้วตกลงไปเยอะ ปีนี้ก็วิ่งกลับขึ้นมากว่า +51.68% อีกอันหนึ่งที่เป็นม้ามืดมาแรงก็คือธีมไซเบอร์ซิเคียวริตี +34.32% เพราะทุกอย่างที่เป็นออนไลน์ต้องใช้หมด อย่างบริษัทของเราเองก็มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับไซเบอร์ซิเคียวริตีเยอะมาก และมันจะกลายเป็นข้อบังคับอย่างหนึ่งในการทำธุรกรรมออนไลน์ไปเลย
คุณอ้อ: เช่น บริษัทเราเป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์ กลต.ก็จะแจ้งเลยว่าต้องทำเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งเราก็ต้องดำเนินการตามนั้นไป และเราก็ขอยืนยันว่าเราทำถูกต้องตามเกณฑ์เป๊ะ หรือเกินกว่านั้นด้วย เพราะบุคลากรของเราจริงจังมาก แล้วของเรายังเล็กๆ สถาบันการเงินที่ใหญ่ๆ ก็ยิ่งต้องมีงบประมาณตรงนี้จำนวนมาก
คุณเผ่า: ซึ่งถ้าไปเจาะดูให้หุ้นรายตัวเกี่ยวกับไซเบอร์ซิเคียวริตีเนี้ยก็เติบโตขึ้นเยอะมาก
คุณอ้อ: กลุ่มอื่นๆ ก็จะมีคลาวด์
คุณเผ่า: ปีที่แล้วคลาวด์ตกลงไปเยอะนะ แต่สุดท้ายก็กลับขึ้นมา คนต้องใช้กันอยู่แล้ว
คุณอ้อ: จริงๆ แล้วคลาวด์มีจำนวนการใช้งานที่เพิ่มขึ้นด้วย ไม่ใช่แค่ภาคเอกชน แต่ภาครัฐบาลก็เริ่มใช้แล้วด้วย อย่างอาทิตย์ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีของเราก็พูดว่า รัฐบาลไทยจะ Go Cloud First ที่ถือเป็นนโยบายของชาติเลย
คุณเผ่า: โดยรวมท็อปๆ ก็จะเห็นว่าเป็นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งข้อดีของการลงทุน Thematic ก็คือบริษัทไหนแข่งกันก็ไม่เป็นไร เพราะเราลงทุนทั้งอุตสาหกรรม
คุณเผ่า: เรามีการหาข้อมูลเพื่อพัฒนาเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นอัลกอริทึมของ Jitta Ranking Thematic Optimize หรือแม้กระทั่งการเฟ้นหา ETF ใน ธีมเมกะเทรนด์ต่างๆ อย่างอัลกอริทึมของ Thematic Optimize เราก็มีความพยายามทดลองแบบใหม่ๆ แต่ก็พบว่าแบบเดิมดีอยู่แล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งของ Thematic Optimize ที่เราจะปรับเพิ่มเติมคือ เป็นแนวทางในการรีบาลานซ์
จากเดิมที่เราคัดเลือก 4 ธีมที่ดีที่สุดมาลงทุนเสมอทุกครั้งที่มีการรีบาลานซ์ เช่น เราซื้อครั้งแรกเป็นธีม A B C และ D และเมื่อมีการรีบาลานซ์และธีมไหนหลุด 4 อันดับแรกไปก็จะขายและซื้อ 4 อันดับแรก ซึ่งโดยรวมจากการทดสอบก็ทำผลตอบแทนได้ดีอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่เราค้นพบในปีนี้คือ มันมีบางธีมการลงทุนที่ดีอยู่แล้ว เวลาคำนวณมามีความใกล้เคียงกันสูงมาก จะมีบางธีมที่จะวิ่งกลับไปกลับมาในอันดับ 3, 4,5 และ 6 ทำให้บางธีมถูกซื้อขายบ่อยๆ
เราจะเปลี่ยนเป็น ถ้าซื้อครั้งแรกเป็นธีม A B C และ D มีการรีบาลานซ์แล้วทั้ง 4 อันดับนี้ยังอยู่ใน 6 อันดับแรกอยู่ก็ไม่ขายแล้ว ทำให้เราลงทุนในธีมที่ดีได้นานขึ้น ไม่ซื้อขายบ่อยครั้ง แต่ถ้าธีมไหนที่เกินอันดับ 6 ก็จะขายออกเหมือนเดิม
อีกเรื่องหนึ่งคือการเปลี่ยน ETF ในธีมเทคโนโลยี และตลาดหุ้นสหรัฐฯ จาก iShares Exponential Technologies ETF (XT) จะถูกเปลี่ยนเป็น iShares Global Tech ETF (IXN) และ Schwab U.S. Large-Cap ETF (SCHX) จะถูกเปลี่ยนเป็น iShares Core S&P 500 ETF (IVV)
คุณอ้อ: อีกเรื่องสำคัญที่เห็นในปีหน้าแน่นอนคือ ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมาอย่างแน่นอนในปีหน้า ต้องติดตามกัน เราจะมาสร้างเทคโนโลยีเพื่อการออมและการลงทุนกัน โดยเฉพาะนักลงทุนที่ลงทุนกับ Jitta Wealth ต้องติดตามไว้เลย
คุณเผ่า: ไม่มีปรับขึ้น เราอยากคงค่าธรรมเนียมที่ต่ำ เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับนักลงทุน ค่าธรรมเนียมที่ต่ำนักลงทุนก็จะได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น
คุณเผ่า: ในโลกของการลงทุนมีข้อมูลเยอะ เราก็ต้องแบ่งให้ได้ว่าข้อมูลอะไรที่เราควบคุมได้ และควบคุมไม่ได้ เราไม่ต้องรู้ทั้งหมด แต่ให้โฟกัสในสิ่งที่เราควบคุมได้ ส่วนข่าวสารต่างๆ ก็พยายามแยกความจริงออกมาเพื่อเอามันมาใช้ประโยชน์ให้ได้ และอย่าพยายามไปไล่ตามสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ ซึ่งสิ่งที่เรามักจะควบคุมได้คือ พยายามมองหาสินทรัพย์ที่ดีจากงบการเงิน ลงทุนอย่างมุ่งมั่นและมีวินัยเช่น การ DCA ซึ่งถ้าเราทำสิ่งที่เราควบคุมได้อย่างถูกต้องสุดท้ายพอร์ตของเราจะเติบโต