MSCI บริษัทที่จัดทำงานวิจัย ข้อมูล ดัชนีอ้างอิงของสินทรัพย์ทางเงินทั่วโลก ให้ความหมายของ Frontier Market ไว้ว่า เป็นกลุ่มประเทศที่เริ่มพัฒนา รายได้ต่อหัวค่อนข้างต่ำ สัดส่วนของคนชั้นกลางไม่มาก [1]
MSCI จึงจัดตลาดหุ้นเวียดนาม รวมอยู่กับอีก 20 ประเทศ เช่น บังคลาเทศ ศรีลังกา บาร์เรน จอร์แดน เลบานอน โอมาน และประเทศอื่นๆ ในยุโรปตะวันออกและแอฟริกา [2]
แต่ ‘ตลาดหุ้นเวียดนาม’ ไม่ใช่น้องใหม่ในตลาดการเงินโลก เพราะมีอายุย่างเข้า 21 ปีแล้ว ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปีนี้จะอายุ 22 ปี แต่ถูกจัดให้เป็นตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยที่ยังเป็น ‘ตลาดหุ้นเกิดใหม่’ (Emerging Market) และเป็นมานานเกือบ 46 ปี
ในช่วงเวลา 2 ทศวรรษมานี้ เวียดนามไม่ได้แค่พัฒนาตลาดเงินตลาดทุนเท่านั้น ยังเปลี่ยนแปลงประเทศในอีกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น นโยบายรัฐบาลที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเต็มพิกัด นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีเสถียรภาพ หนุนการลงทุนจากต่างชาติ ทำให้มีโครงการลงทุนใหญ่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ช่วยเพิ่มการจ้างงาน และทำให้กำลังซื้อของกลุ่มชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น [3]
ขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเวียดนามเติบโต 6-7% ต่อปีในช่วง 2558-2562 และมีส่วนทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามเติบโตได้ในทิศทางเดียวกับจีดีพีของประเทศ
ยิ่งหลายบริษัทพากันเข้ามาจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ก็ยิ่งผลักดันให้ตลาดหุ้นเวียดนามกลายเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจจากทั้งนักลงทุนรายย่อย กองทุนในประเทศ และกองทุนต่างประเทศ
มาทำความรู้จัก ‘ตลาดหุ้นเวียดนาม’ ตลาดหุ้นชายขอบ...ที่มีลุ้นได้เลื่อนขั้นเป็น ‘ตลาดหุ้นเกิดใหม่’ (Emerging Market) ทัดเทียมประเทศในอนาคตอันใกล้นี้
นครโฮจิมินห์ คือ เมืองเศรษฐกิจของเวียดนาม และยังเคยเป็นเมืองหลวงของเวียดนามใต้ในอดีต
Ho Chi Minh Stock Exchange (HOSE) เปิดทำการวันแรกเดือนกรกฎาคม 2543 ปัจจุบันเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนามด้วย Market Cap ประมาณ 4,153,441 พันล้านดงเวียดนาม หรือประมาณ 5.42 ล้านล้านบาท มีหลักทรัพย์จดทะเบียน 564 ตัว เป็นหุ้นสามัญ 403 ตัว ที่เหลือเป็นตราสารหนี้ กองทุน ETF และวอร์แรนต์ [4]
HOSE มีดัชนีอ้างอิงหลักคือ VNI หรือ VN Index และ VN30 กับ VN100 ซึ่งก็คือ หุ้น 30 ตัวและ 100 ตัวแรกบนกระดานซื้อขาย นอกจากนี้ยังมีดัชนีอ้างอิงรายอุตสาหกรรมด้วย
ฮานอย คือ เมืองหลวงของเวียดนาม และเคยเป็นเมืองศูนย์กลางของเวียดนามเหนือ
Hanoi Stock Exchange (HNX) เปิดทำการวันแรกเดือนสิงหาคม 2548 ปัจจุบันเป็นตลาดหุ้นเบอร์สอง ด้วย Market Cap ประมาณ 136,022 พันล้านดงเวียดนาม หรือประมาณ 177,563 ล้านบาท มีหลักทรัพย์จดทะเบียน 354 ตัว [5]
HNX มีดัชนีอ้างอิงหลักคือ HNX Index และมี HNX 30 กับ HNX30 TRI คือ หุ้น 30 ตัวบนกระดานซื้อขาย และแบบคำนวณผลตอบแทนรวม (Total Return Index) และยังมีดัชนีอ้างอิงรายอุตสาหกรรมด้วย
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นฮานอยยังมีตลาดย่อยที่ชื่อว่า Unlisted Public Company Market (UPCoM) เป็นกระดานสำหรับซื้อขายหุ้นที่ยังไม่ได้จดทะเบียนใน HOSE และ HNX ด้วย Market Cap ราว 156,358 พันล้านดงเวียดนาม หรือประมาณ 204,109 ล้านบาท
เสมือนเป็นสนามทดลองให้ว่าที่บริษัทจดทะเบียน ก่อนที่จะย้ายเข้าเทรดใน 2 ตลาดหลัก เพราะ UPCoM มีกฎระเบียบน้อยกว่า มีจุดประสงค์เพื่อสร้างแรงจูงใจให้บริษัทเอกชนในเวียดนามสามารถเข้าถึงตลาดทุนได้ง่ายขึ้น [6]
ปัจจุบัน UPCoM มีหลักทรัพย์จดทะเบียน 911 ตัว มีดัชนีหลัก คือ UPCoM Index และยังมีดัชนีแบ่งตามขนาดของบริษัทเป็นใหญ่ กลาง และเล็กด้วย [7]
ช่วงเดือนมี.ค. 2563 ที่ผ่านมา วิกฤต Covid-19 แพร่ระบาดจากเอเชียลามไปทั่วโลกใน ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงฮวบฮาบ เพราะนักลงทุนเกิดภาวะตื่นตระหนก เกิดแรงเทขายหุ้นอย่างหนัก
เวียดนามก็ไม่มีข้อยกเว้น จุดต่ำสุดของดัชนี VNI ในปีที่แล้ว อยู่ที่ 659.21 จุด วันที่ 24 มี.ค. ส่วน HNX Index ร่วงลงหนักสุดของปีที่แล้ว อยู่ที่ 92.64 วันที่ 31 มี.ค.
แต่พื้นฐานเวียดนามยังมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และสามารถคุมการแพร่ระบาดได้ดี เมื่อภาวะตื่นตระหนกจางหายไปแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นก็กลับมารีบาวด์ได้อีกครั้ง และไต่ขึ้นเรื่อยๆ จนจบปี 2563
ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมา ดัชนี VNI สร้างผลตอบแทนได้ 14.87% และ ดัชนี HNX สร้างผลตอบแทนสูงถึง 98.15%
แต่การดูเทรนด์และผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงเวลาเพียงแค่ 1 ปี ไม่สามารถสรุปได้เลยว่า ลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม จะมีผลตอบแทนที่น่าสนใจ...
คุณต้องลองดูดัชนีย้อนหลัง 5 ปี ตั้งแต่ 2559-2563 จะเห็นได้ว่า ดัชนี VNI สร้างผลตอบแทนได้ 90.64% และ ดัชนี HNX สร้างผลตอบแทนสูงถึง 154.03%
อย่างที่เราได้พูดถึงก่อนหน้านี้ว่า เวียดนามพยายามพัฒนาประเทศมาโดยตลอด เศรษฐกิจเติบโตได้จากการลงทุนโครงการใหญ่ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การส่งออกสินค้า การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการบริโภคของประชาชน 97 กว่าล้านคน
แน่นอนว่า เศรษฐกิจของประเทศและดัชนีตลาดหุ้นมักจะมีความเคลื่อนไหวสัมพันธ์กันในระยะยาว ดังนั้นผลตอบแทนในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาของตลาดหุ้นเวียดนาม ทั้ง 2 ตลาดหลัก จึงเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ
ลองมาดูผลตอบแทนระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่ 2554-2563 ดัชนี VNI สร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 127.76% [8]และดัชนี HNX สร้างผลตอบแทนได้ 77.80% [9]
เรียกได้ว่า ดัชนีทั้ง 2 ตลาดหุ้นหลักของเวียดนาม ยังสามารถรักษาอัตราการการเติบโตได้ดีในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา
เห็นภาพใหญ่ของ ‘ตลาดหุ้นเวียดนาม’ แล้ว มันคือโอกาสการลงทุนหรือไม่ ยังเติบโตได้อีกไหม คุณน่าจะทราบคำตอบแล้ว