ไม่มีใครคาดมาก่อนว่า ‘หุ้นกัญชา’ ทั่วโลก จะเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างผันผวนในช่วง 40 กว่าวันที่ผ่านมา
แรงส่งเชิงบวกที่เป็นภาพปกติ คือ สหรัฐอเมริกากำลังจะทำให้ ‘กัญชา’ ถูกกฎหมาย (Legalization) ในระดับประเทศ เป็นความคาดหวังครั้งใหญ่ หลังจากที่ Joe Biden จากพรรคเดโมแครต ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี
เพราะที่ผ่านมา ‘กัญชา’ ถูกกฎหมายบางรัฐเท่านั้น และระดับการปลดล็อกก็ไม่เท่ากัน บางรัฐให้ใช้กัญชาในทางการแพทย์ (Medical Use) เท่านั้น ขณะที่บางรัฐให้ใช้ได้ทั้งทางแพทย์ รวมไปถึงสันทนาการ (Recreation Adult Use) ด้วย
นโยบายหัวสมัยใหม่จากพรรค Democrat คือ Cannabis Reform Bill กฎหมายปฏิรูปกัญชา วางแผนว่า ร่างกฎหมายต้องผ่านสภาคองเกรสภายในปี 2564 นี้ [1]
กระแสปลดล็อกให้ถูกกฎหมายจึงเป็นบวกต่อ ‘หุ้นกัญชา’ รวมทั้งความคาดหวังจากประชาชนต่อร่างกฎหมายนี้ นั่นหมายความว่า หากเป็นผู้ใหญ่อายุถึงเกณฑ์กำหนด 21 ปี จะซื้อกัญชาที่ไหนเมื่อไรก็ได้ในสหรัฐฯ
ในอนาคต ‘กัญชา’ ก็จะไม่ต่างอะไรกับบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ขายทั่วไปในสหรัฐฯ
นอกจากนี้ยังมีดีลควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมกัญชาทั่วโลก สะท้อนทิศทางอุตสาหกรรมที่สดใส เช่น Tilray และ Aphria บรรลุข้อตกลงควบรวมหุ้นร่วมกัน [2] หรือ Jazz Pharmaceuticals ทุ่มเงิน 7,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐซื้อกิจการ GW Pharmaceuticals [3]
แต่แรงส่งที่เป็นภาพไม่ปกติ คือ กลุ่มผู้ใช้งานเว็บบอร์ด WallStreetBets ของเว็บไซต์ Reddit สื่อสารเชิญชวนนักลงทุนรายย่อยเฮโลทำรายการขายชอร์ตหุ้นกัญชาในช่วง 1-12 ก.พ. หลังจากเห็นโอกาสปลดล็อกกัญชาให้ถูกกฎหมายกับดีลควบรวมกิจการใหญ่ระหว่างหุ้นกัญชารายใหญ่ด้วยกันเอง
เป็นเหตุการณ์ Short Squeeze เช่นเดียวกันกับหุ้น GameStop และ AMC Entertainment Holdings ช่วงเดือนม.ค. ที่ผ่านมา
การ Short Squeeze เป็นการสร้างแรงกดดันให้กลุ่มถือตราสารสิทธิ (Options) เข้าซื้อหุ้นมากขึ้น เพื่อยับยั้งการขาดทุนจากกระแสการขายชอร์ต และรีบปิดสถานะ Options ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว [4]
จากที่ ‘หุ้นกัญชา’ เพิ่มขึ้นตอบรับกระแสเชิงบวกที่มีมาก่อนหมายอยู่แล้ว การ Short Squeeze ทำให้ราคาหุ้นกัญชาพุ่งขึ้นไม่ปกติ ส่งผลให้ ETF หุ้นกัญชามีราคาขึ้นแรงตามไปด้วย
นักลงทุนหลายคนที่สนใจ ETF หุ้นกัญชา อาจจะตกใจและมีข้อกังขาว่า ‘หุ้นกัญชา’ จะไปทิศทางไหนต่อ ราคาแพงไปหรือยัง ผลประกอบการจะเป็นอย่างไร โอกาสเติบโตในอนาคตยังมีอีกหรือไม่ บทความนี้...จะเป็นคำตอบให้คุณ
ETF (Exchange Traded Fund) เป็นสินทรัพย์ทางการเงินรูปแบบหนึ่ง เปรียบเสมือน ‘หุ้น’ หนึ่งตัวบนกระดานซื้อขายหุ้น ETF บริหารในลักษณะกองทุน เพื่อเข้าไปลงทุนตามนโยบายที่กำหนดไว้
ETF ที่ลงทุนในหุ้นบริษัท จึงได้รับความสนใจจากนักลงทุน เพราะไม่ต้องลงทุนหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แล้วต้องรับความเสี่ยงด้วยตนเอง ลงทุน ETF ก็สามารถกระจายความเสี่ยงในหุ้นประเภทเดียวกันได้หลายบริษัท
‘หุ้นกัญชา’ จึงกลายมาเป็น ETF ตัวหนึ่งที่ลงทุนในรูปแบบธีมการลงทุน (Investmemt Theme) ETF หุ้นกัญชาจึงมีนโยบายการลงทุนบริษัทในอุตสาหกรรมกัญชา ดังนี้ [5]
ปัจจุบัน ETF หุ้นกัญชาในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มี 9 กองทุน ครอบคลุมการลงทุนหุ้นหลากหลายรูปแบบ เช่น หุ้นบริษัทมาร์เก็ตแคปขนาดเล็ก (Small Cap Blend Equity) หุ้นบริษัทสุขภาพและเทคโนโลยีชีวภาพ (Health & Biotech Equity) หุ้นกัญชาทุกขนาดมาร์เก็ตแคป (All Cap Equity) หุ้นที่ออกตราสารอนุพันธ์ควบคู่ไปด้วย (Leveraged Equity)
ETF หุ้นกัญชาในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่วนใหญ่จดทะเบียนซื้อขายใน NYSE มีแค่ Global X Cannabis ETF (POTX) จดทะเบียนใน Nasdaq และ Cambria Cannabis ETF (TOKE) จดทะเบียนใน BATS ของ Cboe Global Markets
ETFMG Alternative Harvest ETF (MJ) เป็นกองทุนแรกในกลุ่มหุ้นกัญชาที่เปิดมาในเดือนธันวาคม 2558 ปัจจุบัน MJ กลายเป็น ETF หุ้นกัญชาที่มีมูลค่า AUM (Asset Under Management) สูงที่สุดในโลก
แต่กระแส ‘หุ้นกัญชา’ ใน ETF มาเห็นได้ชัดในปี 2562 เพราะมี ETF เปิดใหม่ถึง 7 กองทุนภายใน 1 ปี
เพราะก่อนหน้านั้นมีแรงส่งจากปลดล็อกให้กัญชาถูกกฎหมายของแคนาดาในช่วงตุลาคม 2561 กฎหมายครอบคลุมถึงการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการได้
จึงทำให้อุตสาหกรรมกัญชาทวีความน่าสนใจมากขึ้นตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา มีผู้เล่นหลายรายหันเข้าสู่ธุรกิจนี้ และมีแรงส่งมายังปี 2562 [6]
ที่สำคัญคือ แหล่งเพาะปลูกกัญชาของโลก ก็กระจุกอยู่ในบางรัฐของสหรัฐฯ และแคนาดาด้วย
และกระแส ETF หุ้นกัญชา ในสหรัฐฯ ยังดีมาถึงปี 2563 เพราะ AdvisorShares Pure US Cannabis ETF (MSOS) เป็นกองทุนน้องใหม่ล่าสุด ที่เปิดเมื่อกันยายนที่ผ่านมา มีนโยบายลงทุนธุรกิจกัญชาในสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียว ส่งผลให้ขนาด AUM โต 2 เท่าตัวภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน จนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 รองจาก MJ [7]
ยิ่งไปกว่านั้น Covid-19 และมาตรการล็อกดาวน์ต่างๆ ทำให้ความต้องการกัญชาเพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ ปีที่ผ่านมา มีทั้งการขายเพื่อให้ในทางการแพทย์ และเพื่อสันทนาการ ประกอบกับกระแสการปลดล็อกให้ถูกกฎหมายในแต่ละรัฐ เป็นแรงกระตุ้นชั้นดีให้สปอตไลต์หันไปที่ธุรกิจกัญชา
พอ Biden จากพรรค Democrat ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ทุกคนจึงคาดหวังถึงร่าง Cannabis Reform ถูกกฎหมายในระดับประเทศนั่นเอง
ตลาดกัญชาถูกกฎหมายอย่างแคนาดา นับว่าเป็นประเทศแรกในกลุ่ม G7 และ G20 ที่ผลักดันให้กัญชาสามารถใช้ได้อย่างแพร่หลายในประเทศ [8]
ธุรกิจกัญชาในแคนาดาก็มีความน่าสนใจไม้แพ้สหรัฐฯ และมี ETF หุ้นกัญชา 3 กองทุน ใน Toronto Stock Exchange ได้แก่ BetaPro Marijuana Companies 2x Daily Bull ETF (HMJU) มูลค่า AUM 19.62 ล้านดอลลาร์แคนาดา BetaPro Marijuana Companies Inverse ETF (HMJI) มูลค่า AUM 8.61 ล้านดอลลาร์แดนาดา และ Horizons Marijuana Life Sciences Index ETF (HMMJ) มูลค่า AUM 665.13 ล้านดอลลาร์แดนาดา [9]
ข้อมูล ETF หุ้นกัญชา 12 กองทุนที่รวบรวมมานี้ เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นภาพสะท้อนว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจกัญชาทวีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น หลายบริษัทเริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้ ประกอบกับความคาดหวังต่อการปลดล็อกกัญชาให้ถูกกฎหมาย
ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนของรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่มีติดปัญหาให้ไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายได้ รวมไปถึงเทรนด์การปลดล็อกกัญชาให้ถูกกฎหมายทั่วโลก ไทยเราก็ผลักดันจนสำเร็จไปแล้ว ถึงเวลาที่...อุตสาหกรรมกัญชาทั่วโลกกำลังจะติดปีกบิน
Jitta Wealth ได้เพิ่มธีมกัญชามาให้นักลงทุนเลือกในบริการ Thematic เข้ามาในช่วงกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยก็มีเกณฑ์การเลือก ETF 3 ข้อ คือ
จึงเป็นที่มาให้ MJ เป็น ETF หุ้นกัญชาที่มีความโดดเด่นเมื่อเทียบกับ ETF ตัวอื่นๆ นั่นเอง วัดแค่ขนาด AUM ก็ชนะขาดแล้ว
MJ จะใช้ Prime Alternative Harvest Index มาเป็นดัชนีอ้างอิง เพื่อกำหนดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกัญชา ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นไปตามการเคลื่อนไหวของดัชนีอ้างอิง
อุตสาหกรรมกัญชาในมุมมองของ MJ จะลงทุนในระบบนิเวศน์ของธุรกิจกัญชาทั้งหมดที่ได้ประโยชน์จากการปลดล็อกให้กัญชาถูกกฎหมาย ทั้งเพื่อใช้ในทางการแพทย์และสันทนาการทั่วโลก
MJ จะลงทุนในหุ้นกัญชาที่ทำธุรกิจภายใต้กฎหมายของทุกประเทศ โดย 49.2% ของพอร์ตลงทุนอยู่ในแคนาดา และ 33.2% อยู่ในสหรัฐฯ ทั้ง 2 ประเทศนี้มีธุรกิจครอบคลุม
อุตสาหกรรมกัญชาตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ
นอกจากนี้ MJ ยังลงทุนในสหราชอาณาจักร 12.9% สวีเดน 2.3% และญี่ปุ่น 1.7% รวมแล้ว 34 บริษัทกัญชาทั่วโลก (ณ วันที่ 12 ก.พ. 62)
ตลาดกัญชาถูกกฎหมายทั่วโลก คาดว่า จะเติบโตเฉลี่ย 23.9% ต่อปีจนมีมูลค่า 66,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 [10]
พอลงลึกมาดูพอร์ตลงทุนของ MJ 10 อันดับแรก เป็น ‘หุ้นกัญชา’ ที่มีราคาขึ้นแรงอย่างน่าตกใจในรอบ 3 เดือนกว่าๆ ตอบรับกระแสหลังเลือกตั้งประธานาธิบดี แผนการผ่านร่าง Cannabis Reform และข่าวการควบรวมกิจการของหุ้นกัญชา
ยิ่งมีเหตุการณ์ Short Squeeze เพิ่มเข้าไปอีกในช่วงต้นเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ยิ่งเป็นการปั่นราคา ‘หุ้นกัญชา’ รวมไปถึง MJ ด้วย
แต่การลงทุน ETF ทิศทางราคาหุ้นไม่ใช่ตัวชี้วัดเพียงอย่างเดียว สิ่งที่วัดว่า ETF มีโอกาสสร้างตอบแทนที่ดีในระยะยาว ต้องดูที่ผลประกอบการของแต่ละบริษัทที่ ETF เข้าไปลงทุน
ภาพรวมผลประกอบการปี 2563 อย่าง Tilray มีรายได้รวม 210.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โต 26% แต่ขาดทุนสุทธิ 271.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Aphria เช่นเดียวกัน มีรายได้รวมครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2564 (มิ.ย.-พ.ย. 2563) อยู่ที่ 306.22 ล้านดอลลาร์แคนาดา โต 24.2% ส่วน ผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 125.69 ล้านดอลลาร์แคนาดา
GW Pharmaceuticals ที่มีรายได้รวมปี 2563 อยู่ที่ 527.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โต 69% ส่วนขาดทุนสุทธิ 58.13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในบรรดาหุ้น 10 ตัวแรกของ MJ มีแค่ GrowGeneration คาดว่ารายได้ปี 2563 จะอยู่ที่ 185-190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งเป้าว่า จะมี EBITDA 19-20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หมายความว่า บริษัทจะมีกำไรนั่นเอง
ดูเหมือนว่า ปี 2563 ผลประกอบการของ ‘หุ้นกัญชา’ ที่ผ่านมายังไม่สามารถทำกำไรได้ มีผลขาดทุนต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า ทั้งๆ ที่รายได้รวมแต่ละปีกำลังเติบโต
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอุตสาหกรรมกัญชาในสหรัฐฯ และแคนาดายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและกำลังตั้งไข่ หรือที่เรียกว่า Established Industry โดยมีตัวเร่งคือความพยายามปลดล็อกให้กัญชาถูกกฎหมาย ธุรกิจที่เข้าไปก็อยู่ในช่วงเริ่มต้นเช่นเดียวกัน [11]
ธุรกิจกัญชาจัดว่าเป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูงและแรงงานคนจำนวนมาก เพราะเป็นธุรกิจการเกษตร เมื่อยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นแน่นอนว่า ต้องการเงินทุนมาใช้ในการทำธุรกิจ ดังนั้นโอกาสที่จะคืนทุน มีกระแสเงินสดหมุนเวียนมากพอ หรือแม้กระทั่งสร้างผลกำไรที่เป็นกอบเป็นกำ...ต้องใช้เวลา
เมื่อปลดล็อกกัญชาให้ถูกกฎหมายสำเร็จในสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศทั่วโลกได้เมื่อไร โอกาสของอุตสาหกรรมกัญชาจะสามารถเข้าสู่ในอีกหลายอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่การแพทย์และสันทนาการเท่านั้น
กัญชาสามารถผสมลงไปในอาหาร ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่ม และเครื่องสำอาง ล้วนแล้วแต่สร้างความต้องการให้ห่วงโซ่อุปทานของกัญชามีโอกาสเติบโตได้ในอนาคต
คาดการณ์กันว่า ตลาดของกัญชาจะเติบโตอย่างเห็นได้ชัดในปี 2565 เช่นเดียวกับ ‘หุ้นกัญชา’ จะพลิกกลับมามีผลกำไรได้เช่นเดียว [12]
การลงทุนในหุ้นกลุ่มใดหนึ่งเพียงอย่างเดียว จะต้องรับความเสี่ยงสูง จากผลกระทบระยะสั้น เหมือนที่ ‘หุ้นกัญชา’ เจอเหตุการณ์ Short Squeeze มาแล้ว ขณะที่อุตสาหกรรมภาพรวมกำลังตั้งไข่อยู่นั้น…
การกระจายการลงทุนในหุ้นธุรกิจอื่นๆ ด้วย จึงเป็นทางเลือกที่ทำให้พอร์ตลงทุนไม่ผันผวน และยังรักษาผลตอบแทนไม่ให้ลดลงมากนัก
ลงทุน Jitta Wealth Thematic มีให้เลือกจัดพอร์ตลงทุนจาก 13 ธีมธุรกิจที่มีโอกาสเติบโต เช่น ธีมกัญชา ลองเข้าไปเลือกได้ที่นี่ https://jittawealth.com/thematic