เดี๋ยวนี้…ใครๆ ก็นำเอา WealthTech มาปรับใช้ในการคัดเลือกสินทรัพย์และจัดพอร์ตลงทุน ยิ่งในแวดวงสถาบันการเงิน ต้องพัฒนา WealthTech เพื่อรักษาฐานลูกค้า
จากบทความ ‘ฟินเทค’ เมกะเทรนด์เปลี่ยนโลกการเงิน เราได้พาคุณไปทำความรู้จักภาพใหญ่ๆ ของอุตสาหกรรมฟินเทค (เทคโนโลยีการเงิน) ว่ามีความสำคัญมากแค่ไหน และจะเป็นเมกะเทรนด์ของโลกได้อย่างไร
คำถามที่น่าสนใจอีก คือ ชีวิตคุณจะเปลี่ยนแปลงไปอีกแค่ไหน เมื่อถูกฟินเทคเข้ามาดิสรัปวิถีชีวิต
ฟินเทคเป็นการรวมกันของการเงิน (Financial) และเทคโนโลยี (Technology) มีแขนงแยกย่อยออกไปมากมาย เช่น โมไบล์แบงก์กิง (Mobile Banking) ที่เป็นธนาคารออนไลน์ คราวด์ฟันดิง (Crowdfunding) แพลตฟอร์มดิจิทัลในการระดมทุน หรือที่ฮอตฮิตสุดๆ คือ คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) สกุลเงินดิจิทัลที่สะเทือนสกุลเงินหลักทั่วโลก
นี่เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของฟินเทค และคุณเองก็มองเห็นแล้วว่า โลกการเงินแห่งอนาคตนี้น่าจับตามองอย่างไร ในบทความนี้ เราจะมาพูดถึง WealthTech ฟินเทคอีกแขนงที่จะทำให้การจัดการลงทุนและบริหารความมั่งคั่งของคุณง่ายขึ้น
WealthTech คือ เทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่ง เป็นแขนงย่อยของฟินเทค เป็นการบรรจบกันของเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น AI (Artificial Intelligence) Big Data หรือแพลตฟอร์ม SaaS (Software-as-a-Service) ในกลุ่ม Cloud Computing
เทคโนโลยีเหล่านี้จะมาช่วยให้คุณเลือกสินทรัพย์การเงินได้ง่ายขึ้น ผ่านการออม การลงทุน และการทำมรดก เพื่อสร้างระบบนิเวศของการเงินดิจิทัลในเมกะเทรนด์ของโลก
เทคโนโลยีที่เรายกตัวอย่างมานี้ มีบทบาทสำคัญมาก เพราะจะเข้ามาวิเคราะห์และคำนวณ ตัวเลขต่างๆ ฐานข้อมูลย้อนหลังของสินทรัพย์เหล่านั้น นำไปสู่การคัดสรรสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี มาช่วยการจัดพอร์ตลงทุนและบริหารความมั่งคั่ง
เรียกได้ว่า เทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่ง คือ เทรนด์ใหม่ๆ เป็นทางเลือกใหม่ให้กับนักลงทุนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนส่วนบุคคล และการลงทุนในระดับสถาบันการเงิน เพราะผู้จัดการกองทุน (Fund Manager) หรือนักวิเคราะห์การลงทุน (Investment Analyst) ไม่ต้องเสียเวลาอ่านข้อมูลสินทรัพย์ที่มีมากมายมหาศาลทั่วโลกด้วยตัวเอง ไม่ต้องใช้เวลามหาศาลในการคำนวณโอกาสเติบโตผ่านงบการเงินของบริษัทต่างๆ ซึ่งมีข้อจำกัดและเกิดอคติในการคัดเลือกสินทรัพย์สูงมาก
WealthTech จึงกลายเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ตัดอคติเหล่านั้นออกไป เลือกสินทรัพย์ต่างๆ จากตัวเลขและข้อมูลจริงๆ ที่สำคัญ คือ มีความแม่นยำสูง
คุณจะได้ประโยชน์จากการพัฒนาเทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่ง คนทั่วๆ ไป จะเข้าถึงโลกการลงทุนได้ง่ายขึ้น มีต้นทุนที่ต่ำลง ที่สำคัญ คือ โอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดียิ่งขึ้น
ดังนั้นเทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่งจะเข้ามาดิสรัปและเปลี่ยนแปลงวิธีการของนักลงทุนและบริษัทจัดการลงทุนในการจัดพอร์ตอย่างมีคุณภาพ ใช้เทคโนโลยีต่างๆ มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความมั่งคั่ง
ปลายทางของเทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่ง คือ ต้นทุนการลงทุนที่ต่ำลง ใช้แรงคนน้อยลง โอกาสการลงทุนที่มากขึ้น และผลตอบแทนที่ดีกว่าเดิม
จากการศึกษาของ The Insight Partner มีการคาดการณ์การเติบโตของธุรกิจ WealthTech ว่า มูลค่าตลาดทั่วโลกจะสูงถึง 137.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2571 จาก 54.62 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 14.1% ในช่วง 8 ปีนี้
ด้าน CB insights ระบุว่า ธุรกิจและสตาร์ตอัปที่พัฒนาแพลตฟอร์มบริหารความมั่งคั่งมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 ที่ผ่านมา โดยมีการระดมทุนได้ 5,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่าทั้งปี 2563
ยิ่งเมื่อทั้งโลกเผชิญกับ Covid-19 อิทธิพลของเทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่งกลับทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะวิกฤตเศรษฐกิจโลกทรุด ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงหนัก ทำให้ทุกๆ คนแสวงหาเทคโนโลยีต่างๆ มาช่วยคัดสรรสินทรัพย์ดีที่มีโอกาสเติบโตในช่วงวิกฤตเหล่านี้
เมื่อวิกฤตเริ่มคลี่คลาย ไม่ว่าคุณเอง หรือสถาบันการเงินต่างๆ ยิ่งให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่งมากขึ้นไปอีก นอกจากความไม่แน่นอน อะไรก็เกิดขึ้นได้แล้ว การลงทุนเป็นเรื่องจำเป็นและต้องทำ เทคโนโลยียังช่วยปลดล็อกให้การเริ่มต้นจัดพอร์ตลงทุน สำหรับนักลงทุนมือใหม่นั้น ง่ายมากขึ้น
แพลตฟอร์มดิจิทัลอะไรบ้าง ที่จะมาเป็นเครื่องมือบริหารความมั่งคั่งให้คุณ สร้างโรดแมปให้พอร์ตลงทุนเติบโตได้ ทีมงาน Jitta Wealth ทำการค้นคว้าและรวบรวมเบื้องต้นได้ ดังนี้
ด้าน Business Insider Intelligence รายงานว่า ระบบ Robo Advisor จะมีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2563 และจะเพิ่มสูงถึง 4.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2565 ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทพัฒนา Robo Advisor สร้าง Machine Learning ที่ปรึกษาการลงทุนกว่า 200 บริษัทที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ
นี่เป็นเครื่องมือส่วนหนึ่งของธุรกิจ WealthTech และยังคงถูกพัฒนาโดยบริษัทและสตาร์ตอัปต่างๆ อยู่ตลอดเวลา จากการนำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ ร่วมกับการศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้งาน เพื่อปรับปรุงพัฒนาแพลตฟอร์มให้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งสร้างสรรค์เครื่องมือใหม่ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคุณ ในฐานะนักลงทุนในอนาคต
เทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่งเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แพลตฟอร์มและโซลูชันที่ใช้เทคโนโลยี เช่น Big Data และ AI เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าใช้จ่ายมากกว่าการใช้คนในธุรกิจบริหารความมั่งคั่งแบบเดิมๆ
เทคโนโลยีช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกด้านคือ ทรัพยากรมนุษย์ในแวดวงการเงินการลงทุนที่มีไม่เพียงพออีกด้วย
นี่คือ เหตุผลที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ รวมไปถึงสตาร์ตอัปฟินเทค ตระหนักถึงเทรนด์และปัญหานี้ เริ่มพัฒนาสร้างระบบและแพลตฟอร์มต่างๆ ที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญา หรือร่วมมือกับธุรกิจฟินเทคอื่นๆ เพื่อพัฒนาเครื่องมือเหล่านี้
ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญมาก คือ การบริหารความมั่งคั่งด้วยเทคโนโลยี ยิ่งเอามาใช้วิเคราะห์เพื่อคัดเลือกสินทรัพย์ที่น่าลงทุน โดยปราศจากอารมณ์และความไม่มั่นคงในการตัดสินใจของมนุษย์ เพราะถ้าหากเลือกสินทรัพย์ได้ถูก จากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ พอร์ตลงทุนที่มาจากเทคโนโลยีย่อมทำผลตอบแทนได้สูงกว่าพอร์ตลงทุนที่ผ่านการเลือกสินทรัพย์เอง
แน่นอนว่า แพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ จะเป็นเครื่องมือช่วยลดเวลาในการศึกษาพื้นฐานแต่ละสินทรัพย์ก่อนการลงทุน รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆ ที่คุณควรทำความเข้าใจก่อนการลงทุน เช่น ความเสี่ยงและผลตอบแทน
ส่งผลให้ธุรกิจ WealthTech ต่างพร้อมแข่งขันกันพัฒนาเครื่องมือต่างๆ มาอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน ออกแบบนวัตกรรมใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น เพื่อสนับสนุนการลงทุนในอนาคต
มีความเป็นไปได้ว่า เทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่งจะเข้ามาแทนที่ปรึกษาทางการเงินที่เป็นคนในที่สุด และคนในแวดวงการเงินการลงทุนต้องทำหน้าที่พัฒนาและใช้ระบบแทน เพื่อมาช่วยส่งเสริมการจัดสรรสินทรัพย์และปรับพอร์ตลงทุน แต่ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า ช่วงเวลานี้จะมาถึงเมื่อไร ตอนไหน อาจใช้เวลา 2-3 ปีต่อจากนี้ เป็นทศวรรษ หรือนานกว่านั้น แต่ที่แน่ๆ เมกะเทรนด์ฟินเทคยังอยู่แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
บริษัทและสตาร์ตอัปต่างๆ เริ่มเข้ามาแข่งขันในฟินเทคมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมทำให้ธุรกิจนี้มีแนวคิดที่สดใหม่กว่าการบริหารการเงินแบบเดิมๆ ผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล โซลูชันต่างๆ และเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อดึงดูดและรักษาฐานลูกค้า เพราะเค้กก้อนใหญ่สำหรับแวดวงการเงินการลงทุน คือ ทุกๆ คน ไม่ใช่แค่นักลงทุนกลุ่มเดิมๆ แต่จะเป็นนักลงทุนรายใหม่ๆ เพราะเทคโนโลยีจะทำให้การลงทุนง่ายขึ้น และมีต้นทุนที่ต่ำลง
อินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีสารสนเทศส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตของมนุษย์ให้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง รวมไปถึงโลกการเงินการลงทุนด้วย
ยกตัวอย่างการลงทุนในสินทรัพย์อย่างหุ้นในไทย อดีตการซื้อขายหุ้น มักนิยมทำโดยการสั่งคำสั่งผ่านเจ้าหน้าที่การตลาดของบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์ ต่อมาในปี 2543 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพิ่มช่องทางการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก และตั้งบริษัท Settrade.com ขึ้นมา พัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายแบบเรียลไทม์ที่ชื่อว่า Streaming เป็นครั้งแรกในปี 2552 ต่อมาก็พัฒนาให้สามารถใช้ได้ผ่านอุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์พกพา
นี่คือ บทบาทของหน่วยงานในตลาดหุ้นต่อการปรับตัวและพัฒนาเทคโนโลยีการเงินการลงทุน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลงทุนของผู้คนยุคปัจจุบัน ที่ใช้อินเทอร์เน็ตกันตลอด 24 ชั่วโมง
กว่า 2 ทศวรรษ ที่ผ่านมา สถาบันการเงินต่างๆ ธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) และบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ลงทุนด้านกำลังคน เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลฟินเทค เพราะทุกคนรู้แล้วว่า อินเทอร์เน็ตมีอิทธิพลมาก และเทคโนโลยีจะทำให้องค์กรสามารถเติบโตต่อ รักษาฐานลูกค้าไว้ได้ และพร้อมช่วงชิงลูกค้ารายอื่นๆ เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ยังมีสตาร์ตอัปรายใหม่ๆ ที่พัฒนาเทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่งจนเติบโตสร้างฐานลูกค้าและผู้ใช้งานได้มากมาย หลายๆ รายทำธุรกิจบริการกองทุนส่วนบุคคล หรือเป็นธุรกิจนายหน้าซื้อขายกองทุนรวมอย่างเต็มตัว
Jitta คือ ตัวอย่างของสตาร์ตอัป WealthTech สัญชาติไทย ที่เริ่มต้นจากการพัฒนาแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้นทั่วโลก ทำให้การศึกษางบการเงินย้อนหลัง เพื่อการลงทุนสไตล์ VI (Value Investing) เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ด้วยพันธกิจ คือ ‘Help investors create better returns through simple investment methods’ (ช่วยให้นักลงทุนสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า ผ่านวิธีการลงทุนที่ง่ายที่สุด)
ปัจจุบันแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta ครอบคลุมไปแล้วมากกว่า 20 ประเทศ พัฒนา AI และออกแบบอัลกอริทึม เพื่อเลือกหุ้นดีราคาเหมาะสม จัดอันดับเป็น Jitta Ranking จากการประมวลผลมากกว่า 750 ล้านดาต้าเซ็ตต่อวัน
ต่อมา Jitta จึงได้ก่อตั้ง Jitta Wealth ในรูปแบบธุรกิจบริหารกองทุนส่วนบุคคล ในอนุญาตบลจ. จากกระทรวงการคลัง และกำกับดูแลโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) โดยยืดหยัดด้วยหลักการลงทุน VI และพอร์ตลงทุนเพื่อผลตอบแทนทบต้นระยะยาว
วัตถุประสงค์ของ Jitta Wealth คือ แพลตฟอร์มดิจิทัลด้วย AI และเทคโนโลยีลงทุนอัตโนมัติ ที่จะช่วยให้คุณลงทุนได้อย่างสบายใจ สร้างพอร์ตที่เติบโตระยะยาว เปิดโอกาสให้คุณลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก
หากอยากรู้ว่า Jitta Wealth กองทุนส่วนบุคคลแบบไหนบ้าง สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ รวบตึง 3 พอร์ตลงทุน Jitta Wealth เลือกแบบไหน…ที่ตรงใจ หรือเข้าไปศึกษานโยบายการลงทุนเพิ่มเติมได้ที่
Jitta Ranking เตรียมปล่อยอัลกอริทึมใหม่ เพื่อผลตอบแทนดียิ่งขึ้น
‘AI ของ Jitta Wealth’ เลือกให้ ทำไมพอร์ตยังติดลบ
กองทุนส่วนบุคคลคืออะไร ทำไม Jitta Wealth ถึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
Jitta เป็นใคร ทำไมใครๆ ก็ลงทุนกับ Jitta Wealth