4 เหตุผลที่ควรมี ‘ตลาดหุ้นอินเดีย’ ติดพอร์ต

24 สิงหาคม 2564Jitta WealthThematic

หากคุณลงทุนใน ETF ‘ตลาดหุ้นอินเดีย’ เชื่อหรือไม่ว่า ผลตอบแทนปี 2564 เติบโตมากกว่า 10% เลยทีเดียว

สำหรับ WisdomTree India Earnings Fund (EPI) เป็น ETF (Exchange Traded Fund) ตัวแทนของตลาดหุ้นอินเดียที่กองทุนส่วนบุคคล Thematic ของ Jitta Wealth เปิดให้คุณลงทุนอยู่นั้น มีผลตอบแทน 7 เดือนแรกของปี 2564 เติบโต 18.96%

ส่วนผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี เติบโตสูงถึง 52.25% (ณ 20 สิงหาคม 2564)

ทั้งๆ ที่ภาพใหญ่อินเดีย คือ ประสบปัญหาการแพร่ระบาด Covid-19 รอบที่ 2 ในช่วงเดือนเมษายน – พฤษภาคม แม้ว่าจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ลดลงมาแล้ว แต่ยังต้องเร่งฉีดวัคซีนให้ประชากร เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่

แน่นอนว่า การระบาดของ Covid-19 แต่ละครั้ง ทำให้ต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก ผู้คนถูกจำกัดการเดินทาง หรือเครื่องมือในระบบสาธารณสุขไม่เพียงพอ

แล้วอะไรที่ทำให้ตลาดหุ้นอินเดียยังคงความน่าสนใจ เราสรุปมาให้ 4 เหตุผลหลักๆ ดังนี้

Jitta Wealth

เหตุผลที่ 1: ขนาดเศรษฐกิจเบอร์ 7 ของโลก

ด้วยจำนวนประชากรเกือบ 1,400 ล้านคน อินเดียอยู่อันดับ 2 ของโลกรองจากจีน

แต่ทั้ง 2 ประเทศยังนับเป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ยังตามประเทศพัฒนาแล้วอีกหลายขุม

สำหรับอินเดีย มีมูลค่าเศรษฐกิจ หรือ GDP อยู่ที่ 2.72 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นอันดับ 7 ของโลก ขณะที่จีน ซึ่งอยู่ที่กลุ่มตลาดเดียวกันมีมูลค่า GDP อยู่ที่ 13.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นอันดับ 2 ของโลก

มูลค่า GDP อินเดียมากกว่าประเทศพัฒนาแล้วอย่างแคนาดาที่ 1.71 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ยังตามหลังชาติผู้นำอย่าง ญี่ปุ่น (4.97 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) เยอรมนี (4.00 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) สหราชอาณาจักร (2.83 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) และฝรั่งเศส (2.78 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ)

สำหรับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (Real GDP Growth) ของอินเดีย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่า ปี 2564 จะเติบโต 12.5% จากติดลบ 8% ในปี 2563

หากเทียบเป็นมูลค่า GDP เศรษฐกิจของอินเดียยังตามหลังชาติผู้นำ รวมทั้งจีนอยู่มาก แต่แต้มต่อของอินเดีย คือ ขนาดประชากร…ที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

ในอนาคต หลายสำนักวิจัยคาดการณ์ว่า อินเดียจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เติบโตมากขึ้นไปอีก และเอาชนะประเทศพัฒนาแล้วได้ เพราะรัฐบาลอินเดียมีนโยบายการให้การศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากร เพิ่มสัดส่วนกลุ่มชนชั้นกลาง เพื่อสร้างกำลังซื้อที่มากขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นการสร้างความแข็งแกร่งจากปัจจัยภายในประเทศ 

เหตุผลที่ 2: GDP โตแซงหน้าชาติผู้นำในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ต่อเนื่องจากเหตุผลข้อแรก แม้ว่าอินเดียถูกมองว่า เป็นประเทศยากจน มีความเหลื่อมล้ำสูง แต่ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมานั้น อินเดียเปิดประเทศให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุน เพื่อให้เกิดการจ้างงานใหม่ หนุนการเติบโตจากการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (Foreign Direct Investment – FDI) 

ส่งผลให้เศรษฐกิจอินเดียมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดแบบที่นักลงทุนหลายคนยังประหลาดใจ หลายสำนักวิจัยคาดกันว่า GDP ของอินเดียจะเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี

รายงานปี 2562 ของธนาคาร Standard Chartered บอกว่า ในปี 2573 อินเดียจะมีขนาดเศรษฐกิจแซงหน้าสหรัฐฯ และ PwC บริษัทตรวจสอบบัญชี ทำรายงาน ‘The World in 2050’ คาดการณ์ว่า ในปี 2593 อินเดียจะมีมูลค่า GDP ขึ้นเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากจีน และแซงหน้าประเทศพัฒนาแล้วทั้งหมด 

อินเดียยังมีข้อได้เปรียบด้านประชากรที่เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นตลาดแรงงานมหาศาล ยังไม่มีสัญญาณสังคมคนสูงวัย เหมือนประเทศพัฒนาแล้ว รวมทั้งจีน และคาดว่าอินเดียจะมีจำนวนประชากรมากกว่าจีนในอนาคต และมีจุดแข็ง คือ สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ มีทรัพยากรบุคคลมากมายที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และวิทยาศาสตร์  

เหตุผลที่ 3: ‘ตลาดหุ้นอินเดีย’ แข็งแกร่ง แม้ Covid-19 ระบาด

อินเดียเผชิญการแพร่ระบาด Covid-19 ถึง 2 รอบ ทำให้จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ของอินเดียพุ่งสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก รวมทั้งทรัพยากรในระบบสาธารณสุขของประเทศไม่เพียงพอในการรองรับผู้ป่วยอีกด้วย 

แม้ว่า การระบาดรอบที่ 2 กำลังคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น จำนวนผู้ป่วยใหม่ลดลงมา ประกอบกับอัตราการฉีดวัคซีนในโดสแรกอยู่ที่ 32.6% ของประชากร (ณ 20 สิงหาคม 2564) แน่นอนว่า เศรษฐกิจอินเดียครึ่งปีแรก 2564 ได้รับผลกระทบมาก ตัวเลขเติบโตน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

แต่เชื่อหรือไม่ว่า ความเคลื่อนไหวของ ‘ตลาดหุ้นอินเดีย’ กลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม ทั้งตลาดหุ้นหลัก (NSE) และตลาดหุ้นบอมเบย์ (BSE) โดยในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา (21 สิงหาคม 2563 – 20 สิงหาคม 2564) มีการเติบโตสูงกว่า 40% และอยู่ในช่วง Covid-19 ระบาดทั้ง 2 รอบ

  • ดัชนี NIFTY50 (NSE) +46.47%
  • ดัชนี SENSEX (BSE) +44.76%

สะท้อนว่า ท่ามกลางการแพร่ระบาดที่ดูหนักหน่วง แต่ตลาดหุ้นอินเดียมีผลกระทบน้อยมาก กราฟเป็นทิศทางขาขึ้น ส่งผลให้ ETF ที่ลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียอย่าง EPI และ INDA ยังมีผลตอบแทนในช่วงเวลาเดียวกันเป็นบวกตามทิศทางตลาดหุ้นอินเดียอีกด้วย 

เหตุผลที่ 4 มีโรดแมปพัฒนาประเทศชัดเจน

อินเดียกำลังมุ่งหน้าสู่ New India ภายในปี 2565 เป็นโรดแมปที่ Narendra Modi นายกรัฐมนตรีของอินเดียประกาศไว้เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2560 และได้มอบหมายให้ National Institution for Transforming India หรือ NITI Aayog เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ตามโรดแมปของรัฐบาล

สถาบัน NITI Aayog ได้เผยแพร่รายละเอียด Strategy for New India @ 75 ที่มีแนวคิดและเป้าหมายสำคัญ 3 อย่าง คือ 

  • มีขนาดเศรษฐกิจ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2573 (จาก 2.72 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ)
  • เน้นการพัฒนาแบบองค์รวม ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน พร้อมกับส่งเสริมความเจริญทางเศรษฐกิจ และเน้นใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจ
  • เน้นการมีส่วนร่วมจากกลุ่มคนที่มีบทบาทสำคัญในสังคม 7 กลุ่ม ได้แก่ นักวิทยาศาสตร์และผู้คิดค้นนวัตกรรม เกษตรกร องค์กรภาคประชาสังคม หน่วยงานวิจัย ผู้แทนภาคแรงงาน ผู้แทนสหภาพการค้า และผู้แทนภาคอุตสาหกรรม จัดทำยุทธศาสตร์ร่วมกันกับรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น  

จากนั้นมีการกำหนดสาขาที่ควรได้รับการพัฒนาเอาไว้ทั้งหมด 41 สาขา แบ่งเป็น 4 กลุ่มย่อย ได้แก่ 

  1. ปัจจัยที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (Driver) เช่น การกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ การจ้างงาน การพัฒนาความสามารถทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และอุตสาหกรรม การเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร และส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยว รวมไปถึงการทำเหมืองแร่ เป็นต้น มีเป้าหมายให้ GDP เติบโต 8% ต่อปี ช่วงปี 2561-2566 
  2. โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทุกด้านที่ช่วยส่งเสริมการทำธุรกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เช่น ระบบขนส่ง โลจิสติกส์ ทรัพยากรน้ำ สมาร์ตซิตี้ และส่งเสริมเครือข่ายอินเทอร์เน็ต Bharat Net ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ภายในปี 2565
  3. การพัฒนาแบบองค์รวม (Inclusion) เน้นการแก้ปัญหาที่บั่นทอนการพัฒนาศักยภาพของประชาชน เช่น การศึกษา ทักษะการทำงาน สุขภาพ ความเท่าเทียมทางเพศ และการช่วยเหลือคนที่ถูกแบ่งชั้นวรรณะ 
  4. ธรรมาภิบาล (Governance) การเน้นการเชื่อมโยงฐานข้อมูลจากพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้ผู้มีอำนาจในระดับนโยบายสามารถอนุมัติงบประมาณแก้ปัญหาได้ตามข้อเท็จจริงที่มีฐานข้อมูลรองรับ และส่งเสริมการร่วมมือระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น รวมทั้งเร่งกระบวนการการพิจารณาทางกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

หากแผนนี้สำเร็จ อินเดียจะเป็นประเทศที่มีความน่าสนใจและมีช่องว่างในการเติบโตอีกมาก ทั้งมูลค่าเศรษฐกิจ ขนาดประชากร คุณภาพชีวิตประชาชน ระบบขนส่งมวลชน และโครงสร้างต่างๆ ที่รัฐบาลกำลังเตรียมพร้อม รวมทั้งเปิดโอกาสให้การทำธุรกิจในอินเดียมีความง่ายขึ้น สำหรับคนในท้องถิ่นและชาวต่างชาติ

นี่คือ โอกาสของอินเดีย ในฐานะตลาดเกิดใหม่ เป็นยักษ์ใหญ่พอๆ กับจีน และถูกจับตามองว่า มูลค่าเศรษฐกิจจะเอาชนะชาติผู้นำได้ในระยะยาว หากคุณเชื่อมั่นในเมกะเทรนด์นี้ มั่นใจว่า ‘ตลาดหุ้นอินเดีย’ เป็นอีกหนึ่งโอกาสการลงทุนของคุณ คุณสามารถลงทุนหุ้นอินเดียได้ ผ่าน ETF เพื่อกระจายความเสี่ยง ลงทุนหุ้นดีๆ ของอินเดียในทุกอุตสาหกรรม

EPI ในกองทุนส่วนบุคคล Thematic เป็น ETF ประเภท Passive Fund มีนโยบายกองทุนให้ผลตอบแทนตามดัชนี WisdomTree India Earnings Index ลงทุนในหุ้นบริษัททุกขนาดในตลาดหุ้นอินเดียที่มีศักยภาพในการทำกำไรและเป็นหุ้นคุณค่า (Value Stock)

คุณสามารถจัดพอร์ต Thematic ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 100,000 บาท เลือกธีมที่สนใจได้สูงสุดถึง 5 ธีมในพอร์ตเดียว เช่น ลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ (SCHX) ตลาดหุ้นจีน (MCHI) ตลาดหุ้นอินเดีย (EPI) และตลาดหุ้นเวียดนาม (VNM) ในพอร์ตเดียวกัน เพื่อกระจายความเสี่ยงไปหลายๆ ภูมิภาค หรือจัดพอร์ตตามความชื่นชอบในกลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ เช่น ฟินเทค คลาวด์ อีคอมเมิร์ซ จีโนมิกส์ หรือเทคโนโลยีท่องเที่ยว

คุณสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  https://jittawealth.com/thematic/MARKET-INDIA หรือสอบถามเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนได้ที่ Line ID: @JittaWealth 


กองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth บริหารจัดการโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด ซึ่งเป็น WealthTech แห่งแรกของไทยที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง กำกับโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ใบอนุญาตเลขที่ ลค-0105-01

ผลตอบแทนในอดีต ไม่สามารถการันตีผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจนโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนต่างประเทศอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน


อ้างอิง


อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

ลงทุน ‘หุ้นจีน’ กองไหนดี? สรุป-เปรียบเทียบทุกทางเลือก ‘หุ้นจีน’ ของ Jitta Wealth

ETF เวียดนาม ลงทุนอะไรบ้าง?

บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด
1111/9-10 ถนนลาดพร้าว แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900



สงวนลิขสิทธิ์ © 2024 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด
เนื้อหาทั้งหมดบนเว็บไซต์นี้จัดทำขึ้นโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด (“Jitta Wealth”) ผู้บริหารจัดการบัญชีกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth ที่ได้รับใบอนุญาตบริหารจัดการกองทุนประเภท ค เลขที่ ลค-0105-01 และดำเนินการภายใต้การกำกับ ดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) Jitta Wealth ให้บริการกองทุนส่วนบุคคลสำหรับผู้ลงทุนรายย่อย ที่ต้องการนำเงินมาลงทุนในตลาดทุน โดยใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์หุ้นและกลยุทธ์การลงทุนที่จัดทำโดยบริษัทจิตตะ ดอท คอม จำกัด (“Jitta.com”) บริหารจัดการให้แบบอัตโนมัติ เพื่อผลตอบแทนระยะยาวที่สูงกว่าดัชนีตลาด การลงทุนมีความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียกำไรหรือเงินต้น กลยุทธ์การลงทุนของ Jitta Wealth ใช้ข้อมูลวิเคราะห์หุ้นของ Jitta.com ซึ่งคิดคำนวณจากข้อมูลในอดีต อัตราผลตอบแทน การเปรียบเทียบหรือการจัดอันดับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนบนเว็บไซต์นี้เป็นสมมุติฐานทางสถิติจากข้อมูลที่มี เพื่อใช้ประกอบการอธิบายรายละเอียดบริการเท่านั้น ไม่สามารถใช้รับประกันผลตอบแทนในอนาคตได้ สถานการณ์ในโลกที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะแง่บวกหรือแง่ลบ สามารถส่งผลกระทบ ต่อทั้งอุตสาหกรรมหรือกลุ่มธุรกิจ และอาจทำให้พอร์ตหุ้นที่มีการกระจายความเสี่ยงค่อนข้างมากแล้ว ประสบความผันผวนด้านราคาได้ Jitta Wealth ได้รับอนุญาตให้บริหารจัดการกองทุนเพื่อช่วยผู้ลงทุนบรรลุเป้าหมายด้านการเงินผ่านการ ลงทุนในสินทรัพย์ประเภท หุ้นโดยไม่มีเจตนาแนะนำความเหมาะสมของกลยุทธ์การลงทุนใดๆ แก่ผู้ลงทุน ผู้ลงทุนควรคำนึงถึงเป้าหมายการลงทุนส่วนตัว และค่าธรรมเนียมต่างๆ ของ Jitta Wealth ก่อนลงทุน
“Jitta Wealth” เป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด