Jitta Wealth Journal - ลุ้นสภาคองเกรสไฟเขียวเพิ่มเพดานหนี้

12 ตุลาคม 2564Jitta WealthJitta Wealth Journal

จีนบนทาง 2 แพร่งกับความมั่นคงทางพลังงาน

Jitta Wealth Journal ฉบับที่ 46 ประจำวันที่ 12 ตุลาคม 2564 ทีมงานได้สรุปสถานการณ์รอบสัปดาห์ มาอัปเดตให้คุณแล้ว ดังนี้

  • วุฒิสภาสหรัฐฯ ไฟเขียวเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ
  • ภาวะพลังงานขาดแคลนจีน…สะเทือนเศรษฐกิจโลก
  • ผู้บริหาร China Evergrande ถูกสั่งให้คืนเงินค่าขายสินทรัพย์
  • วัคซีนไข้หวัดใหญ่ Sanofi ฉีดพร้อมบูสเตอร์ของ Moderna ได้
  • ธุรกิจเฮลท์แคร์ในอินเดียมูลค่า 280,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568
  • เศรษฐกิจของอินเดียโต 8.3% ในปี 2564-2565
  • เวียดนามเตรียมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติสิ้นปีนี้
  • Joe Biden เตรียมคุยกับ Xi Jinping อีกครั้งปลายปีนี้
  • หุ่นยนต์และ AI ทั่วโลกเติบโต 21,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2569
  • Amazon เรียกร้องให้สหรัฐฯ ปลดล็อกกัญชาถูกกฎหมาย

ไปติดตามกันได้เลย


Thematic Optimize พร้อมให้ลงทุนแล้ววันนี้

อยากลงทุนแบบ Thematic แต่ธีมเมกะเทรนด์มีให้เลือกมากมาย…ไม่รู้จะเลือกอะไรดี

#เลือกให้ถูก Thematic Optimize เลือกให้

ครั้งแรกในประเทศไทย AI ช่วยจัดพอร์ตธีมเมกะเทรนด์ให้คุณ
พิสูจน์จากทดสอบผลตอบแทนย้อนหลังสูงถึง 25%* ต่อปี

เปิดพอร์ต Thematic Optimize

*ผลตอบแทนทบต้นจากการทดสอบผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ 1 มกราคม 2561 – 31 สิงหาคม 2564


Jitta Wealth

Exclusive Q&A with CEO เดือนตุลาคม

คุณสนใจลงทุนกับ Jitta Wealth ใช่หรือไม่ โอกาสมาถึงแล้วครับ Webinar ที่ให้คุณได้มีโอกาสถามคุณตราวุทธิ์ เกี่ยวกับกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth ทั้ง 3 นโยบาย รวมไปถึงสถานการณ์การลงทุนทั่วโลกที่คุณยังกังวล หรืออยากทราบมุมมองจากคุณตราวุทธิ์

วันที่ 17 ตุลาคม 2564

เวลา 14:00 น.

ลงทะเบียน Webinar


วุฒิสภาสหรัฐฯ ไฟเขียวเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ

ทั่วโลกกำลังจับตามองไปที่สหรัฐฯ เกี่ยวกับประเด็นเพดานหนี้สาธารณะ หรือ Debt Ceiling รัฐบาลภายใต้การบริหารของ Joe Biden ต้องเพิ่มเพดานการกู้ยืมระยะสั้นเพื่อนำเงินมาชำระหนี้เดิม หลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ 

เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์ที่สหรัฐฯ ผิดนัดชำระหนี้ขึ้นมาเมื่อไร จะกระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ รวมไปถึงภาพลักษณ์ของประเทศมหาอำนาจที่เป็นศูนย์กลางตลาดการเงินของโลก

ปัจจุบันอันดับเครดิตของสหรัฐฯ ของ S&P อยู่ที่ AA+ ส่วน Moody’s อยู่ที่ Aaa และ Fitch อยู่ที่ AAA ความหมาย คือ ประเทศมีความน่าเชื่อถือสูงมาก โอกาสผิดนัดชำระหนี้ต่ำ ดังนั้นสหรัฐฯ จะปล่อยให้ประเทศถูกลดเกรดหรือไม่

เพดานหนี้ที่รัฐบาลต้องการคือ เพิ่มจาก 28.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยที่ก่อนหน้านี้มีข้อถกเถียงว่า สภาคองเกรสจะไฟเขียวให้เพิ่มเพดานหนี้หรือไม่ โดยเส้นตายชำระหนี้อยู่ที่ 18 ตุลาคมนี้ 

ความคืบหน้าล่าสุด คือ วุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติในการประชุมในวันที่ 7 ตุลาคม ได้เสียงข้างมากอย่างฉิวเฉียด 50 ต่อ 48 ให้ขยายเพดานหนี้สาธารณะอีก 480,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปจนถึง 3 ธันวาคม จากเพดานเดิม 28.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 28.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

Janet Yellen รัฐมนตรีคลัง สหรัฐฯ มั่นใจว่า ร่างกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะได้รับการอนุมัติร่างกฎหมายและส่งให้ Biden ลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายก่อนกำหนดเส้นตายสัปดาห์หน้า

ส่วนสภาคองเกรสจะให้การอนุมัติการเพิ่มเพดานหนี้อีกครั้งหลัง 3 ธันวาคม เรียกได้ว่า แรงกดดันในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา คลายไปได้ 1 เปลาะ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกฟื้นกลับมาในแดนบวกเลย

สำหรับสถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในรอบกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ยังคงเผชิญแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อรายเดือนที่อยู่ในระดับสูง เป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนยังกังวลอยู่ เพราะอาจส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต เพื่อบรรเทาภาวะเงินเฟ้อ

แม้ว่า Fed เอง ได้ให้กรอบเวลาชัดเจนถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้วว่า จะปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงปี 2565 เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวก็จริง ก็ยังมีความเปราะบางอยู่มาก และหากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่งผลกระทบอย่างหนัก ทาง Fed พร้อมจะปรับลงหรือชะลอการขึ้น เพื่อลดผลกระทบด้วยเช่นกัน 

แต่ทว่าการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อและดอกเบี้ย คือ ความกังวลที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนหรือปิดในแดนลบได้ โดยในรอบเดือนกันยายนที่ผ่านมา จนถึง 8 ตุลาคม ดัชนีหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลง 

  • S&P500 อยู่ที่ -2.9%
  • Nasdaq อยู่ที่ -4.0%
  • DJIA อยู่ที่ -1.7%

เมื่อโฟกัสไปที่หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ บริษัทส่วนใหญ่มีมาร์เก็ตแคปที่มีขนาดใหญ่มาก ซึ่งหลายๆ ตัวเป็นหุ้นระดับเมกะแคป เมื่อดัชนีหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดในแดนลบต่อเนื่อง หุ้นบิ๊กเทคก็มีราคาลดลงไปในทิศทางเดียวกัน

สาเหตุที่ดัชนีตลาดหุ้นลดลง ก็คือแรงเทขายทำกำไรและความกังวลระยะสั้น ในช่วงเวลาเดียวกันหุ้นบิ๊กเทคมีราคาลดลง โดยเฉพาะ Facebook ที่ระบบล่มมากกว่า 6 ชั่วโมง ทำให้หุ้นดิ่งลงในวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา มากกว่า 11% 

เม็ดเงินที่นักลงทุนขายทำกำไรจากตลาดหุ้น ก็เอามาลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนดีและความเสี่ยงต่ำกว่า ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) อายุ 10 ปี เร่งตัวขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเป็นสถานการณ์เดียวกับช่วงไตรมาสแรกปี 2564 ที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนและมีผลต่อหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ 

นั่นคือสาเหตุหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความผันผวนในรอบเดือนที่ผ่านมา รวมไปถึงประเด็นขึ้นเพดานหนี้สาธารณะสหรัฐฯ ในสถานการณ์นี้ Jitta Wealth มองว่า ความเคลื่อนไหวเป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้นจากข่าวเท่านั้น 

Jitta Wealth ไม่ปฏิเสธว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา กองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking สหรัฐฯ และหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ รวมไปถึงการลงทุนใน ETF (Exchange Traded Fund) ผ่าน Global ETF และ Thematic ได้รับผลกระทบด้วย คุณอาจจะเห็นมูลค่าพอร์ตลดลงจนเอะใจว่า เกิดอะไรขึ้น

แต่สุดท้ายแล้ว หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะปรับตัวขึ้นกลับสู่พื้นฐานเดิม คือ เป็นหุ้นที่เกาะติดไปกับเมกะเทรนด์และมีโอกาสเติบโตในระยะยาว สะท้อนผ่านรายได้ที่ยังคงเติบโตอยู่

ถ้าคุณลองมองย้อนไปในเหตุการณ์เดียวกันที่เกิดขึ้นเมื่อไตรมาสแรกและเดือนกันยายนที่ผ่านมา หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ มีทิศทางขาขึ้นมาโดยตลอด อย่าง Google +58.90% Microsoft +32.56% Facebook +20.52% นับถึง 8 ตุลาคม

ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นหลัก 3 ตัว เพิ่มขึ้น 13-17% ในช่วงเวลาดียวกัน ทั้งๆ ที่เผชิญความกังวลภาวะเงินเฟ้อพุ่งขึ้น ผลตอบแทนพันธบัตรเร่งตัว และแรงเทขายทำกำไรระหว่างทางเหมือนกัน

สะท้อนว่า ตลอด 9 เดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา กราฟดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ และราคาหุ้นเมกะแคปที่เป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังเป็นขาขึ้นมาโดยตลอด ถ้ามองภาพใหญ่ คือ ฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจและการเติบโตของแต่ละบริษัท

แต่ความเสี่ยงระยะสั้น ไม่มีคาดการณ์ได้ครับ เมื่อเรารู้สาเหตุเบื้องต้นแล้ว หากคุณยังมั่นใจในโอกาสลงทุนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในฐานะศูนย์กลางตลาดการเงินของโลก…ไม่มีอะไรน่ากังวล


Jitta Wealth

ทำไมสหรัฐอเมริกาจึงเป็นประเทศแห่งเทคโนโลยีทางการแพทย์

ลงทุนแมนได้ไฮไลต์เกี่ยวกับไบโอเทคโนโลยีที่กำลังมีอิทธิพลในวงการสาธารณสุขทั่วโลก แน่นอนว่า 1 ในผลิตผลของไบโอเทคโนโลยี คือ วัคซีน และประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคือ…สหรัฐฯ

ดูวิดีโอ


ภาวะพลังงานขาดแคลนจีน…สะเทือนเศรษฐกิจโลก

จีนกำลังเผชิญวิกฤตขาดแคลนพลังงาน ซึ่งกำลังเป็นอุปสรรคการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ และกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ในด้านห่วงโซ่การผลิต หลายภาคส่วนล้วนพึ่งพาวัตถุดิบจากจีนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสินค้าต้นน้ำ กลางน้ำ หรือปลายน้ำ

โดยวิกฤตนี้ มีสาเหตุหลัก 2 ประเด็น ประเด็นแรก คือ เป้าหมายของจีนในการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์เป็นประเทศพลังงานสะอาด ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ลดมลพิษภายในประเทศ ซึ่งทางการจีนได้ออกคำสั่งตัดไฟบางส่วนใน 20 มณฑล เพื่อลดการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศ ซึ่งมาตรการนี้ครอบคลุมทั้งระดับครัวเรือนและระดับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ 

รัฐบาลจีนสั่งให้โรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งลดการใช้ไฟฟ้า ด้วยการลดกำลังการผลิตลงเหลือเพียง 2-4 วันต่อสัปดาห์ 

และประเด็นที่สอง คือ ราคาถ่านหินพุ่งสูงขึ้น  ซึ่งจีนต้องพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าด้วยถ่านหินกว่า 70% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด มีรายงานระบุว่า ส่วนหนึ่งมาจากประเด็นความขัดแย้งระหว่างจีนและออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่ส่งออกถ่านหินให้กับจีน จีนได้จำกัดการนำเข้า และพยายามหาถ่านหินจากแหล่งอื่นซึ่งราคาสูงกว่า รวมทั้งมีการควบคุมราคาไฟฟ้าของจีนทั้งในภาคครัวเรือนและธุรกิจอีกด้วย 

ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น แต่โรงไฟฟ้าไม่สามารถปรับราคาไฟฟ้าขึ้นมาได้ โรงงานไฟฟ้าจึงเลี่ยงการขาดทุนด้วยการลดกำลังผลิต 

ในขณะที่โลกต้องการสินค้าจากจีนมากขึ้นเรื่อยๆ ภาคธุรกิจต้องการกำลังไฟฟ้าในการผลิตสินค้าให้มากเท่าความต้องการของตลาด แต่จีนกลับไม่มีพลังงานไฟฟ้ามากพอในการผลิต ผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ของจีนออกมาส่งสัญญาณเตือนว่า วิกฤตพลังงานจะกลายเป็นโดมิโนเอฟเฟ็กต์ต่อการส่งออก เพราะแค่มณฑลเจียงซู เจ้อเจียง และกวางตุ้ง ก็มีมูลค่าการส่งออกโดยรวมคิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของ GDP จีน

Goldman Sachs ระบุว่า วิกฤตพลังงานนี้ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมของจีนมากถึง 44% และอาจจะทำให้ผู้ผลิตทั่วโลกเผชิญปัญหาในการจัดการสินค้าในสต๊อก ของขาดตลาด และอาจจะทำให้ราคาสินค้าต่างๆ พุ่งสูงขึ้น จนเกิดภาวะเงินเฟ้อได้

จากที่คาดการณ์เอาไว้ว่า เศรษฐกิจจีนจะเติบโต 8.2% ในปี 2564 แต่ด้วยวิกฤตการขาดแคลนพลังงาน คาดว่า เศรษฐกิจของจีนในปีนี้จะขยายตัวเพียง 7.8% เท่านั้น

วิกฤตินี้ถือเป็นความท้าทายของจีนในการแก้ปัญหาสร้างสมดุล ระหว่างความต้องการเปลี่ยนให้เป็นประเทศพลังงานสะอาด กับการเติบโตของเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพากำลังผลิตไฟฟ้ามหาศาลในภาคอุตสาหกรรม 

Michal Meidan ผู้อำนวยการโครงการวิจัยพลังงานแห่งประเทศจีนของสถาบัน Oxford เพื่อการศึกษาด้านพลังงาน ให้ความเห็นถึง 4 ทางออกนำจีนพ้นวิกฤตพลังงาน ได้แก่ การเปิดเสรีพลังงาน เชื่อมต่อโครงข่ายไฟฟ้าในภูมิภาค เดินหน้าเรื่องพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน และเพิ่มการสำรองถ่านหิน 

ล่าสุดจีนก็มีการเคลื่อนไหว ออกคำสั่ง เพิ่มกำลังผลิตถ่านหินเกือบ 100 ล้านตัน เพื่อแก้วิกฤตการขาดแคลนพลังงานในครั้งนี้ เหมืองถ่านหินกว่า 70 แห่งในมองโกเลีย แหล่งผลิตถ่านหินที่สำคัญของจีน ถูกสั่งให้เพิ่มกำลังการผลิตมากกว่า 98 ล้านตัน  โดยแผนเพิ่มการผลิตถ่านหินนี้คิดเป็น 3% ของการบริโภคถ่านหินทั้งหมดของจีน 

คำสั่งดังกล่าวได้สะท้อนภาพอันย้อนแย้งของจีน ที่สวนทางกับเป้าหมายด้านพลังงานสะอาด การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

วิกฤตนี้ทำให้นักลงทุนจับตาดูการแก้ปัญหาและหาทางออก รวมทั้งราคาถ่านหินที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น เพราะจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนไม่มากก็น้อย รวมไปถึงสินค้าต่างๆ ที่ต้องพึ่งการผลิตจากจีน ที่อาจจะกระทบไปถึงห่วงโซ่การผลิตของสินค้าสำคัญในตลาดโลก 

อย่างไรก็ตามจีนมีโรดแมปที่จะสนับสนุนและพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดอยู่เสมอ ซึ่งอาจจะเป็นแผนต่อไปในการแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ของจีนก็ได้ ดังนั้นทางการจีนไม่ล้มเลิกอย่างแน่นอน

วิกฤตพลังงานไฟฟ้ารอบนี้ ผมมองว่า จีนจะหาแก้ปัญหาให้ภาคการผลิตของประเทศสามารถเดินหน้าต่อได้ อาจจะต้องยอมใช้กำลังผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินในระยะสั้น แต่แผนการใช้พลังงานของประเทศในระยะยาว จีนไม่ทิ้งพลังงานลมและแสงอาทิตย์อย่างแน่นอน

เราคงต้องรอดูว่า ถ้าห่วงโซ่การผลิตของโลกไม่ชะงักชะงันนานเกินไป จากวิกฤตพลังงานของจีน ผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดการเงินทั่วโลก อาจจะมีไม่มากนัก และยังไม่น่ากังวลใจ


Jitta Wealth

รีวิว Jitta Wealth ทุกแบบ ผ่าน ETF และหุ้นทั่วโลกทั่วโลก

Than Money Trick สรุปกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth ทั้ง 3 นโยบาย ได้แก่ นโยบาย Global ETF นโยบาย Thematic และนโยบาย Jitta Ranking ส่วนคุณธัญลงทุนแบบ Thematic Optimize แผนใหม่ล่าสุด

ดูวิดีโอ


Jitta Wealth

AI ของ Thematic Optimize จัดพอร์ตอย่างไร ทำผลตอบแทนได้ 25% ต่อปี

AI ของ Thematic Optimize เลือกธีมอะไรบ้าง ที่ทำให้พอร์ตธีมเมกะเทรนด์มีผลตอบแทนสูงถึง 25% ต่อปี บทความนี้จะมาไขข้อข้องใจ พร้อมคำอธิบายอย่างละเอียด

อ่านต่อ


Jitta Wealth

ให้ AI ช่วยจัดพอร์ตในธีมเมกะเทรนด์ด้วย Thematic Optimize

Stock JourNoey รวบรวมข้อมูลนโยบาย Thematic DIY และ Thematic Optimize หากคุณอยากรู้ว่า Jitta Wealth มีธีมอะไรที่น่าสนใจบ้าง อยากเลือกธีมเอง หรือให้ AI เลือกให้ ศึกษาจากโพสต์นี้…โพสต์เดียวจบ

อ่านต่อ


สรุปสถานการณ์ทั่วโลก

📌 6 ผู้บริหารของ China Evergrande ถูกสั่งให้คืนเงินจากการขายสินทรัพย์ 12 รายการที่ลงทุน ในช่วง 1 พฤษภาคมถึง 7 กันยายน เป็นการขายก่อนกำหนด โดยบริษัทตรวจสอบพบในวันที่ 18 กันยายน ถือเป็นการใช้ข้อมูลภายใน เพื่อฉวยเอาผลประโยชน์

วิกฤตหนี้สินของ China Evergrande มูลค่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงถูกจับตามองว่า บริษัทและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการอย่างไร เพราะเป็นมูลหนี้มหาศาลและส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน

China Evergrande ได้มีข้อเสนอเรื่องกำหนดการไถ่ถอนหุ้นกู้ และสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ที่เป็นหนี้สินจากนักลงทุน บอกว่า จะมุ่งเน้นให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยหุ้นกู้ระยะสั้นกำลังจะครบกำหนดไถ่ถอนภายในสิ้นปี 2564

แม้ว่าบริษัทจะไม่ได้กระทบโดยตรงกับการลงทุนของ Jitta Wealth แต่ขนาดและมูลหนี้ของ China Evergrande ทำให้นักลงทุนทั่วโลกกังวล เพราะส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นระยะหนึ่ง โดยเฉพาะตลาดหุ้นใหญ่ในจีนและฮ่องกง

📌 Sanofi รายงานว่า ผลการศึกษาครั้งแรกจากการวัดประสิทธิภาพของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ของบริษัท ฉีดร่วมกับวัคซีน mRNA ของ Moderna มีการตอบสนองที่ดีต่อภูมิคุ้มกัน และมีความข้อมูลด้านความปลอดภัยและความทนทานที่คล้ายคลึงกัน

วัคซีน Fluzone High-Dose Quadrivalent ของ Sanofi เป็นวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ใช้ในผู้สูงอายุ การฉีดไปพร้อมกับวัคซีน Moderna พร้อมๆ กัน จะช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อในกลุ่มนี้ด้วย

นี่คือความสำเร็จของวงการสาธารณสุข ไม่ใช่มีแค่ Covid-19 เท่านั้น สะท้อนภาพความจำเป็นของธุรกิจเฮลท์แคร์และจีโนมิกส์ ที่จะทำให้ผู้คนทั่วโลกเอาชนะโรคภัยไข้เจ็บ ผ่านยา วัคซีน และวิธีการรักษาโรคได้

📌 อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ในอินเดีย คาดว่า จะเติบโตมากกว่า 280,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568 จากนโยบายของรัฐบาลที่จะช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมให้เข้าถึงประชาชนอินเดียทุกคนได้อย่างรวดเร็วและเท่าเทียมกัน

ปัจจุบันอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ในอินเดียยังมีโครงสร้างแยกส่วนกันและขาดการนำเทคโนโลยีมาใช้ ทำให้รัฐบาลอินเดียจำเป็นต้องพัฒนาและลงทุนเพิ่มขึ้น เพื่อประชาชนอินเดียทุกคนได้มีสุขภาพที่ดี และเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

ในอนาคตอันใกล้ เราจะเห็นได้ว่า เศรษฐกิจของอินเดียจะเติบโตได้เร็วมาก จากการพัฒนาประเทศในหลายๆ ด้าน และเฮลท์แคร์ก็เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญลำดับต้นๆ ที่รัฐบาลอินเดียต้องการที่สุด ในอนาคตการลงทุนในอินเดียยังคงน่าสนใจอยู่

📌 ธนาคารโลกคาดว่า เศรษฐกิจของอินเดียจะเติบโต 8.3% ภายในปี 2564-2565 ซึ่งเป็นการปรับลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 10.1% เนื่องจากกังวลถึงการแพร่ระบาดของ Covid-19 ในระลอก 2 

ในขณะเดียวกัน คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางอินเดียได้ทบทวนนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งยังคงตัวเลขการเติบโตของ GDP ไว้ที่ 9.5% ภายในปี 2564-2565

ถึงแม้ว่าตัวเลข GDP ของอินเดีย จะถูกปรับลดลง แต่ด้วยอัตราการเติบโตที่ 8.3% ก็ยังเป็นตัวเลขการฟื้นตัวที่สูงมากอยู่ดี ปัจจุบันนักลงทุนได้ให้ความสนใจกับตลาดหุ้นอินเดีย และดัชนีตลาดกำลังเป็นขาขึ้นเลย

📌 เวียดนามเตรียมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนครบภายในสิ้นปี 2564 โดยสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งจะเปิดให้บริการอีกครั้งในเดือนธันวาคม และหวังว่า การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจะที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเวียดนาม

แต่เวียดนามต้องเร่งรัดฉีดวัคซีน Covid-19 ให้คนภายในประเทศ เพื่อหยุดการแพร่ระบาด และเพิ่มความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะเข้ามาภายในประเทศ

หากเวียดนามสามารถควบคุมสถานการณ์นี้ได้ดี รัฐบาลมีแผนจะเปิดทั้งประเทศภายในช่วงเดือนมิถุนายน ปี 2565 

ที่ผ่านมาเวียดนามได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 รอบใหม่ ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง แต่การเปิดประเทศในครั้งนี้ เป็นสัญญาณที่ดีที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจเวียดนามให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง

📌 หุ้นเทคโนโลยีจีนพุ่งขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา รับข่าวดี Joe Biden จะนัดพบกับ Xi Jinping อีกครั้งในช่วงปลายปี ทำให้หุ้นในบริษัท Tencent พุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดดถึง 5.3% รวมไปถึงอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba ที่พุ่งขึ้นมาถึง 6.9% 

นอกจากนี้บริษัทสำนักพิมพ์ชื่อดังอย่าง Charlie Munger’s Daily Journal ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของ Alibaba ถึง 83% ทำให้หุ้นเทคโนโลยีจีนหลายแห่งได้รับอานิสงส์จากเหตุการณ์นี้ไปด้วย 

ทีมงาน Jitta Wealth จะอัปเดตผลการพูดคุยกันระหว่าง Biden และ Xi ในช่วงปลายปีนี้ว่า 2 ประเทศมหาอำนาจจะสามารถหาทางออกเกี่ยวกับสงครามการค้าและหาทางร่วมมือกันได้หรือไม่ 

ปัจจุบันการแข่งขันของทั้ง 2 ประเทศมหาอำนาจมีอย่างต่อเนื่อง และประเด็นที่รัฐบาลจีนแทรกแซงบริษัทเทคโนโลยีในประเทศ ยังส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นมาก หากปมเหล่านี้ มีทางออกที่ดีได้ เราจะได้เห็นการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจเทคโนโลยีจีน

📌 อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และ AI ทั่วโลกคาดว่า จะเติบโตสูงถึง 21,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2569 ขยายตัว 25.4% ต่อปี ปัจจุบันหลายธุรกิจเล็งเห็นถึงศักยภาพอันทรงพลังของหุ่นยนต์และ AI ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลผลิตสูง ประหยัดเวลามากขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น และเพิ่มศักยภาพของแรงงานคนได้ด้วย

คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และ AI ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดจะเติบโตขึ้นมาที่ 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564 นี้ ในขณะที่จีนจะเติบโตขึ้นมาที่ 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2569

หุ่นยนต์และ AI เป็น 1 ในเมกะเทรนด์ที่มาแรง คาดว่า เราจะได้เห็นอุตสาหกรรมนี้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในอนาคต และกลายเป็นเทคโนโลยีที่ทุกคนใช้กันทั่วไป หากมองกันยาวๆ สามารถลงทุนรอบรับเทรนด์การเติบโตได้

📌 Amazon ได้ออกมาเรียกร้องให้วุฒิสภาสหรัฐฯ ปลดล็อกกัญชาถูกกฎหมาย เนื่องจากการทดสอบสารเสพติดก่อนจ้างงาน ทำให้บริษัทประสบปัญหาในการขยายกำลังคนอย่างยากลำบากมากขึ้น เพราะผู้สมัครหลายคนเกี่ยวข้องกับการใช้กัญชา

Amazon มองว่า หากยกเลิกการทดสอบสารกัญชาก่อนสมัครงาน จะช่วยให้หลายบริษัทสามารถขยายกำลังการจ้างงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในตอนนี้สหรัฐฯ กำลังประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน จากการหยุดชะงักช่วงการแพร่ระบาดของ Covid-19 

การเรียกร้องของ Amazon จะเกิดแรงกระเพื่อมในอุตสาหกรรมกัญชามากขึ้น หากสหรัฐฯ ปลดล็อกให้กัญชาถูกกฎหมายในระดับประเทศ จะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และจะทำให้อุตสาหกรรมกัญชาเติบโตขึ้นได้ในอนาคต


นี่คือ สรุปข่าวสารในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ทีมงาน Jitta Wealth รวบรวมมาอัปเดตในคุณ รวมทั้งตอบข้อสงสัยในประเด็นที่คุณอาจจะกังวลว่า จะมีผลกระทบต่อพอร์ตลงทุนของ Jitta Wealth หรือไม่

เรามีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับการลงทุนระยะยาวว่า ในเมื่อไม่สามารถคาดการณ์เหตุการณ์อะไรได้ การเลือกลงทุนสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ กระจายความเสี่ยงได้ดี และหมั่นเพิ่มทุนอย่างสม่ำเสมอ จะพาพอร์ตคุณแข็งแกร่งต่อความผันผวนได้

แล้วพบกันสัปดาห์หน้า


อ่าน Jitta Wealth Journal ย้อนหลัง

Jitta Wealth Journal – หุ้นวัคซีนดิ่งลง กระทบธีมเฮลท์แคร์หรือไม่ 

Jitta Wealth Journal – เทรนด์บาทอ่อน หลัง Fed เตรียมจบ QE

บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด
1111/9-10 ถนนลาดพร้าว แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900



สงวนลิขสิทธิ์ © 2024 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด
เนื้อหาทั้งหมดบนเว็บไซต์นี้จัดทำขึ้นโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด (“Jitta Wealth”) ผู้บริหารจัดการบัญชีกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth ที่ได้รับใบอนุญาตบริหารจัดการกองทุนประเภท ค เลขที่ ลค-0105-01 และดำเนินการภายใต้การกำกับ ดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) Jitta Wealth ให้บริการกองทุนส่วนบุคคลสำหรับผู้ลงทุนรายย่อย ที่ต้องการนำเงินมาลงทุนในตลาดทุน โดยใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์หุ้นและกลยุทธ์การลงทุนที่จัดทำโดยบริษัทจิตตะ ดอท คอม จำกัด (“Jitta.com”) บริหารจัดการให้แบบอัตโนมัติ เพื่อผลตอบแทนระยะยาวที่สูงกว่าดัชนีตลาด การลงทุนมีความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียกำไรหรือเงินต้น กลยุทธ์การลงทุนของ Jitta Wealth ใช้ข้อมูลวิเคราะห์หุ้นของ Jitta.com ซึ่งคิดคำนวณจากข้อมูลในอดีต อัตราผลตอบแทน การเปรียบเทียบหรือการจัดอันดับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนบนเว็บไซต์นี้เป็นสมมุติฐานทางสถิติจากข้อมูลที่มี เพื่อใช้ประกอบการอธิบายรายละเอียดบริการเท่านั้น ไม่สามารถใช้รับประกันผลตอบแทนในอนาคตได้ สถานการณ์ในโลกที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะแง่บวกหรือแง่ลบ สามารถส่งผลกระทบ ต่อทั้งอุตสาหกรรมหรือกลุ่มธุรกิจ และอาจทำให้พอร์ตหุ้นที่มีการกระจายความเสี่ยงค่อนข้างมากแล้ว ประสบความผันผวนด้านราคาได้ Jitta Wealth ได้รับอนุญาตให้บริหารจัดการกองทุนเพื่อช่วยผู้ลงทุนบรรลุเป้าหมายด้านการเงินผ่านการ ลงทุนในสินทรัพย์ประเภท หุ้นโดยไม่มีเจตนาแนะนำความเหมาะสมของกลยุทธ์การลงทุนใดๆ แก่ผู้ลงทุน ผู้ลงทุนควรคำนึงถึงเป้าหมายการลงทุนส่วนตัว และค่าธรรมเนียมต่างๆ ของ Jitta Wealth ก่อนลงทุน
“Jitta Wealth” เป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะ เวลธ์ จำกัด