Jitta Wealth Journal ฉบับที่ 46 ประจำวันที่ 12 ตุลาคม 2564 ทีมงานได้สรุปสถานการณ์รอบสัปดาห์ มาอัปเดตให้คุณแล้ว ดังนี้
ไปติดตามกันได้เลย
อยากลงทุนแบบ Thematic แต่ธีมเมกะเทรนด์มีให้เลือกมากมาย…ไม่รู้จะเลือกอะไรดี
#เลือกให้ถูก Thematic Optimize เลือกให้
ครั้งแรกในประเทศไทย AI ช่วยจัดพอร์ตธีมเมกะเทรนด์ให้คุณ
พิสูจน์จากทดสอบผลตอบแทนย้อนหลังสูงถึง 25%* ต่อปี
*ผลตอบแทนทบต้นจากการทดสอบผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ 1 มกราคม 2561 – 31 สิงหาคม 2564
คุณสนใจลงทุนกับ Jitta Wealth ใช่หรือไม่ โอกาสมาถึงแล้วครับ Webinar ที่ให้คุณได้มีโอกาสถามคุณตราวุทธิ์ เกี่ยวกับกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth ทั้ง 3 นโยบาย รวมไปถึงสถานการณ์การลงทุนทั่วโลกที่คุณยังกังวล หรืออยากทราบมุมมองจากคุณตราวุทธิ์
วันที่ 17 ตุลาคม 2564
เวลา 14:00 น.
ทั่วโลกกำลังจับตามองไปที่สหรัฐฯ เกี่ยวกับประเด็นเพดานหนี้สาธารณะ หรือ Debt Ceiling รัฐบาลภายใต้การบริหารของ Joe Biden ต้องเพิ่มเพดานการกู้ยืมระยะสั้นเพื่อนำเงินมาชำระหนี้เดิม หลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้
เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์ที่สหรัฐฯ ผิดนัดชำระหนี้ขึ้นมาเมื่อไร จะกระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ รวมไปถึงภาพลักษณ์ของประเทศมหาอำนาจที่เป็นศูนย์กลางตลาดการเงินของโลก
ปัจจุบันอันดับเครดิตของสหรัฐฯ ของ S&P อยู่ที่ AA+ ส่วน Moody’s อยู่ที่ Aaa และ Fitch อยู่ที่ AAA ความหมาย คือ ประเทศมีความน่าเชื่อถือสูงมาก โอกาสผิดนัดชำระหนี้ต่ำ ดังนั้นสหรัฐฯ จะปล่อยให้ประเทศถูกลดเกรดหรือไม่
เพดานหนี้ที่รัฐบาลต้องการคือ เพิ่มจาก 28.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยที่ก่อนหน้านี้มีข้อถกเถียงว่า สภาคองเกรสจะไฟเขียวให้เพิ่มเพดานหนี้หรือไม่ โดยเส้นตายชำระหนี้อยู่ที่ 18 ตุลาคมนี้
ความคืบหน้าล่าสุด คือ วุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติในการประชุมในวันที่ 7 ตุลาคม ได้เสียงข้างมากอย่างฉิวเฉียด 50 ต่อ 48 ให้ขยายเพดานหนี้สาธารณะอีก 480,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปจนถึง 3 ธันวาคม จากเพดานเดิม 28.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 28.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
Janet Yellen รัฐมนตรีคลัง สหรัฐฯ มั่นใจว่า ร่างกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะได้รับการอนุมัติร่างกฎหมายและส่งให้ Biden ลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายก่อนกำหนดเส้นตายสัปดาห์หน้า
ส่วนสภาคองเกรสจะให้การอนุมัติการเพิ่มเพดานหนี้อีกครั้งหลัง 3 ธันวาคม เรียกได้ว่า แรงกดดันในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา คลายไปได้ 1 เปลาะ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกฟื้นกลับมาในแดนบวกเลย
สำหรับสถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในรอบกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ยังคงเผชิญแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อรายเดือนที่อยู่ในระดับสูง เป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนยังกังวลอยู่ เพราะอาจส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต เพื่อบรรเทาภาวะเงินเฟ้อ
แม้ว่า Fed เอง ได้ให้กรอบเวลาชัดเจนถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้วว่า จะปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงปี 2565 เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวก็จริง ก็ยังมีความเปราะบางอยู่มาก และหากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่งผลกระทบอย่างหนัก ทาง Fed พร้อมจะปรับลงหรือชะลอการขึ้น เพื่อลดผลกระทบด้วยเช่นกัน
แต่ทว่าการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อและดอกเบี้ย คือ ความกังวลที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนหรือปิดในแดนลบได้ โดยในรอบเดือนกันยายนที่ผ่านมา จนถึง 8 ตุลาคม ดัชนีหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลง
เมื่อโฟกัสไปที่หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ บริษัทส่วนใหญ่มีมาร์เก็ตแคปที่มีขนาดใหญ่มาก ซึ่งหลายๆ ตัวเป็นหุ้นระดับเมกะแคป เมื่อดัชนีหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดในแดนลบต่อเนื่อง หุ้นบิ๊กเทคก็มีราคาลดลงไปในทิศทางเดียวกัน
สาเหตุที่ดัชนีตลาดหุ้นลดลง ก็คือแรงเทขายทำกำไรและความกังวลระยะสั้น ในช่วงเวลาเดียวกันหุ้นบิ๊กเทคมีราคาลดลง โดยเฉพาะ Facebook ที่ระบบล่มมากกว่า 6 ชั่วโมง ทำให้หุ้นดิ่งลงในวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา มากกว่า 11%
เม็ดเงินที่นักลงทุนขายทำกำไรจากตลาดหุ้น ก็เอามาลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนดีและความเสี่ยงต่ำกว่า ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) อายุ 10 ปี เร่งตัวขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเป็นสถานการณ์เดียวกับช่วงไตรมาสแรกปี 2564 ที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนและมีผลต่อหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ
นั่นคือสาเหตุหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความผันผวนในรอบเดือนที่ผ่านมา รวมไปถึงประเด็นขึ้นเพดานหนี้สาธารณะสหรัฐฯ ในสถานการณ์นี้ Jitta Wealth มองว่า ความเคลื่อนไหวเป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้นจากข่าวเท่านั้น
Jitta Wealth ไม่ปฏิเสธว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา กองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking สหรัฐฯ และหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ รวมไปถึงการลงทุนใน ETF (Exchange Traded Fund) ผ่าน Global ETF และ Thematic ได้รับผลกระทบด้วย คุณอาจจะเห็นมูลค่าพอร์ตลดลงจนเอะใจว่า เกิดอะไรขึ้น
แต่สุดท้ายแล้ว หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะปรับตัวขึ้นกลับสู่พื้นฐานเดิม คือ เป็นหุ้นที่เกาะติดไปกับเมกะเทรนด์และมีโอกาสเติบโตในระยะยาว สะท้อนผ่านรายได้ที่ยังคงเติบโตอยู่
ถ้าคุณลองมองย้อนไปในเหตุการณ์เดียวกันที่เกิดขึ้นเมื่อไตรมาสแรกและเดือนกันยายนที่ผ่านมา หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ มีทิศทางขาขึ้นมาโดยตลอด อย่าง Google +58.90% Microsoft +32.56% Facebook +20.52% นับถึง 8 ตุลาคม
ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นหลัก 3 ตัว เพิ่มขึ้น 13-17% ในช่วงเวลาดียวกัน ทั้งๆ ที่เผชิญความกังวลภาวะเงินเฟ้อพุ่งขึ้น ผลตอบแทนพันธบัตรเร่งตัว และแรงเทขายทำกำไรระหว่างทางเหมือนกัน
สะท้อนว่า ตลอด 9 เดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา กราฟดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ และราคาหุ้นเมกะแคปที่เป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังเป็นขาขึ้นมาโดยตลอด ถ้ามองภาพใหญ่ คือ ฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจและการเติบโตของแต่ละบริษัท
แต่ความเสี่ยงระยะสั้น ไม่มีคาดการณ์ได้ครับ เมื่อเรารู้สาเหตุเบื้องต้นแล้ว หากคุณยังมั่นใจในโอกาสลงทุนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในฐานะศูนย์กลางตลาดการเงินของโลก…ไม่มีอะไรน่ากังวล
ลงทุนแมนได้ไฮไลต์เกี่ยวกับไบโอเทคโนโลยีที่กำลังมีอิทธิพลในวงการสาธารณสุขทั่วโลก แน่นอนว่า 1 ในผลิตผลของไบโอเทคโนโลยี คือ วัคซีน และประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคือ…สหรัฐฯ
จีนกำลังเผชิญวิกฤตขาดแคลนพลังงาน ซึ่งกำลังเป็นอุปสรรคการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ และกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ในด้านห่วงโซ่การผลิต หลายภาคส่วนล้วนพึ่งพาวัตถุดิบจากจีนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสินค้าต้นน้ำ กลางน้ำ หรือปลายน้ำ
โดยวิกฤตนี้ มีสาเหตุหลัก 2 ประเด็น ประเด็นแรก คือ เป้าหมายของจีนในการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์เป็นประเทศพลังงานสะอาด ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ลดมลพิษภายในประเทศ ซึ่งทางการจีนได้ออกคำสั่งตัดไฟบางส่วนใน 20 มณฑล เพื่อลดการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศ ซึ่งมาตรการนี้ครอบคลุมทั้งระดับครัวเรือนและระดับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
รัฐบาลจีนสั่งให้โรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งลดการใช้ไฟฟ้า ด้วยการลดกำลังการผลิตลงเหลือเพียง 2-4 วันต่อสัปดาห์
และประเด็นที่สอง คือ ราคาถ่านหินพุ่งสูงขึ้น ซึ่งจีนต้องพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าด้วยถ่านหินกว่า 70% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด มีรายงานระบุว่า ส่วนหนึ่งมาจากประเด็นความขัดแย้งระหว่างจีนและออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่ส่งออกถ่านหินให้กับจีน จีนได้จำกัดการนำเข้า และพยายามหาถ่านหินจากแหล่งอื่นซึ่งราคาสูงกว่า รวมทั้งมีการควบคุมราคาไฟฟ้าของจีนทั้งในภาคครัวเรือนและธุรกิจอีกด้วย
ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น แต่โรงไฟฟ้าไม่สามารถปรับราคาไฟฟ้าขึ้นมาได้ โรงงานไฟฟ้าจึงเลี่ยงการขาดทุนด้วยการลดกำลังผลิต
ในขณะที่โลกต้องการสินค้าจากจีนมากขึ้นเรื่อยๆ ภาคธุรกิจต้องการกำลังไฟฟ้าในการผลิตสินค้าให้มากเท่าความต้องการของตลาด แต่จีนกลับไม่มีพลังงานไฟฟ้ามากพอในการผลิต ผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ของจีนออกมาส่งสัญญาณเตือนว่า วิกฤตพลังงานจะกลายเป็นโดมิโนเอฟเฟ็กต์ต่อการส่งออก เพราะแค่มณฑลเจียงซู เจ้อเจียง และกวางตุ้ง ก็มีมูลค่าการส่งออกโดยรวมคิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของ GDP จีน
Goldman Sachs ระบุว่า วิกฤตพลังงานนี้ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมของจีนมากถึง 44% และอาจจะทำให้ผู้ผลิตทั่วโลกเผชิญปัญหาในการจัดการสินค้าในสต๊อก ของขาดตลาด และอาจจะทำให้ราคาสินค้าต่างๆ พุ่งสูงขึ้น จนเกิดภาวะเงินเฟ้อได้
จากที่คาดการณ์เอาไว้ว่า เศรษฐกิจจีนจะเติบโต 8.2% ในปี 2564 แต่ด้วยวิกฤตการขาดแคลนพลังงาน คาดว่า เศรษฐกิจของจีนในปีนี้จะขยายตัวเพียง 7.8% เท่านั้น
วิกฤตินี้ถือเป็นความท้าทายของจีนในการแก้ปัญหาสร้างสมดุล ระหว่างความต้องการเปลี่ยนให้เป็นประเทศพลังงานสะอาด กับการเติบโตของเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพากำลังผลิตไฟฟ้ามหาศาลในภาคอุตสาหกรรม
Michal Meidan ผู้อำนวยการโครงการวิจัยพลังงานแห่งประเทศจีนของสถาบัน Oxford เพื่อการศึกษาด้านพลังงาน ให้ความเห็นถึง 4 ทางออกนำจีนพ้นวิกฤตพลังงาน ได้แก่ การเปิดเสรีพลังงาน เชื่อมต่อโครงข่ายไฟฟ้าในภูมิภาค เดินหน้าเรื่องพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน และเพิ่มการสำรองถ่านหิน
ล่าสุดจีนก็มีการเคลื่อนไหว ออกคำสั่ง เพิ่มกำลังผลิตถ่านหินเกือบ 100 ล้านตัน เพื่อแก้วิกฤตการขาดแคลนพลังงานในครั้งนี้ เหมืองถ่านหินกว่า 70 แห่งในมองโกเลีย แหล่งผลิตถ่านหินที่สำคัญของจีน ถูกสั่งให้เพิ่มกำลังการผลิตมากกว่า 98 ล้านตัน โดยแผนเพิ่มการผลิตถ่านหินนี้คิดเป็น 3% ของการบริโภคถ่านหินทั้งหมดของจีน
คำสั่งดังกล่าวได้สะท้อนภาพอันย้อนแย้งของจีน ที่สวนทางกับเป้าหมายด้านพลังงานสะอาด การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
วิกฤตนี้ทำให้นักลงทุนจับตาดูการแก้ปัญหาและหาทางออก รวมทั้งราคาถ่านหินที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น เพราะจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนไม่มากก็น้อย รวมไปถึงสินค้าต่างๆ ที่ต้องพึ่งการผลิตจากจีน ที่อาจจะกระทบไปถึงห่วงโซ่การผลิตของสินค้าสำคัญในตลาดโลก
อย่างไรก็ตามจีนมีโรดแมปที่จะสนับสนุนและพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดอยู่เสมอ ซึ่งอาจจะเป็นแผนต่อไปในการแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ของจีนก็ได้ ดังนั้นทางการจีนไม่ล้มเลิกอย่างแน่นอน
วิกฤตพลังงานไฟฟ้ารอบนี้ ผมมองว่า จีนจะหาแก้ปัญหาให้ภาคการผลิตของประเทศสามารถเดินหน้าต่อได้ อาจจะต้องยอมใช้กำลังผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินในระยะสั้น แต่แผนการใช้พลังงานของประเทศในระยะยาว จีนไม่ทิ้งพลังงานลมและแสงอาทิตย์อย่างแน่นอน
เราคงต้องรอดูว่า ถ้าห่วงโซ่การผลิตของโลกไม่ชะงักชะงันนานเกินไป จากวิกฤตพลังงานของจีน ผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดการเงินทั่วโลก อาจจะมีไม่มากนัก และยังไม่น่ากังวลใจ
Than Money Trick สรุปกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth ทั้ง 3 นโยบาย ได้แก่ นโยบาย Global ETF นโยบาย Thematic และนโยบาย Jitta Ranking ส่วนคุณธัญลงทุนแบบ Thematic Optimize แผนใหม่ล่าสุด
AI ของ Thematic Optimize เลือกธีมอะไรบ้าง ที่ทำให้พอร์ตธีมเมกะเทรนด์มีผลตอบแทนสูงถึง 25% ต่อปี บทความนี้จะมาไขข้อข้องใจ พร้อมคำอธิบายอย่างละเอียด
Stock JourNoey รวบรวมข้อมูลนโยบาย Thematic DIY และ Thematic Optimize หากคุณอยากรู้ว่า Jitta Wealth มีธีมอะไรที่น่าสนใจบ้าง อยากเลือกธีมเอง หรือให้ AI เลือกให้ ศึกษาจากโพสต์นี้…โพสต์เดียวจบ
📌 6 ผู้บริหารของ China Evergrande ถูกสั่งให้คืนเงินจากการขายสินทรัพย์ 12 รายการที่ลงทุน ในช่วง 1 พฤษภาคมถึง 7 กันยายน เป็นการขายก่อนกำหนด โดยบริษัทตรวจสอบพบในวันที่ 18 กันยายน ถือเป็นการใช้ข้อมูลภายใน เพื่อฉวยเอาผลประโยชน์
วิกฤตหนี้สินของ China Evergrande มูลค่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงถูกจับตามองว่า บริษัทและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการอย่างไร เพราะเป็นมูลหนี้มหาศาลและส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน
China Evergrande ได้มีข้อเสนอเรื่องกำหนดการไถ่ถอนหุ้นกู้ และสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ที่เป็นหนี้สินจากนักลงทุน บอกว่า จะมุ่งเน้นให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยหุ้นกู้ระยะสั้นกำลังจะครบกำหนดไถ่ถอนภายในสิ้นปี 2564
แม้ว่าบริษัทจะไม่ได้กระทบโดยตรงกับการลงทุนของ Jitta Wealth แต่ขนาดและมูลหนี้ของ China Evergrande ทำให้นักลงทุนทั่วโลกกังวล เพราะส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นระยะหนึ่ง โดยเฉพาะตลาดหุ้นใหญ่ในจีนและฮ่องกง
📌 Sanofi รายงานว่า ผลการศึกษาครั้งแรกจากการวัดประสิทธิภาพของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ของบริษัท ฉีดร่วมกับวัคซีน mRNA ของ Moderna มีการตอบสนองที่ดีต่อภูมิคุ้มกัน และมีความข้อมูลด้านความปลอดภัยและความทนทานที่คล้ายคลึงกัน
วัคซีน Fluzone High-Dose Quadrivalent ของ Sanofi เป็นวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ใช้ในผู้สูงอายุ การฉีดไปพร้อมกับวัคซีน Moderna พร้อมๆ กัน จะช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อในกลุ่มนี้ด้วย
นี่คือความสำเร็จของวงการสาธารณสุข ไม่ใช่มีแค่ Covid-19 เท่านั้น สะท้อนภาพความจำเป็นของธุรกิจเฮลท์แคร์และจีโนมิกส์ ที่จะทำให้ผู้คนทั่วโลกเอาชนะโรคภัยไข้เจ็บ ผ่านยา วัคซีน และวิธีการรักษาโรคได้
📌 อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ในอินเดีย คาดว่า จะเติบโตมากกว่า 280,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568 จากนโยบายของรัฐบาลที่จะช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมให้เข้าถึงประชาชนอินเดียทุกคนได้อย่างรวดเร็วและเท่าเทียมกัน
ปัจจุบันอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ในอินเดียยังมีโครงสร้างแยกส่วนกันและขาดการนำเทคโนโลยีมาใช้ ทำให้รัฐบาลอินเดียจำเป็นต้องพัฒนาและลงทุนเพิ่มขึ้น เพื่อประชาชนอินเดียทุกคนได้มีสุขภาพที่ดี และเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
ในอนาคตอันใกล้ เราจะเห็นได้ว่า เศรษฐกิจของอินเดียจะเติบโตได้เร็วมาก จากการพัฒนาประเทศในหลายๆ ด้าน และเฮลท์แคร์ก็เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญลำดับต้นๆ ที่รัฐบาลอินเดียต้องการที่สุด ในอนาคตการลงทุนในอินเดียยังคงน่าสนใจอยู่
📌 ธนาคารโลกคาดว่า เศรษฐกิจของอินเดียจะเติบโต 8.3% ภายในปี 2564-2565 ซึ่งเป็นการปรับลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 10.1% เนื่องจากกังวลถึงการแพร่ระบาดของ Covid-19 ในระลอก 2
ในขณะเดียวกัน คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางอินเดียได้ทบทวนนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งยังคงตัวเลขการเติบโตของ GDP ไว้ที่ 9.5% ภายในปี 2564-2565
ถึงแม้ว่าตัวเลข GDP ของอินเดีย จะถูกปรับลดลง แต่ด้วยอัตราการเติบโตที่ 8.3% ก็ยังเป็นตัวเลขการฟื้นตัวที่สูงมากอยู่ดี ปัจจุบันนักลงทุนได้ให้ความสนใจกับตลาดหุ้นอินเดีย และดัชนีตลาดกำลังเป็นขาขึ้นเลย
📌 เวียดนามเตรียมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนครบภายในสิ้นปี 2564 โดยสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งจะเปิดให้บริการอีกครั้งในเดือนธันวาคม และหวังว่า การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจะที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเวียดนาม
แต่เวียดนามต้องเร่งรัดฉีดวัคซีน Covid-19 ให้คนภายในประเทศ เพื่อหยุดการแพร่ระบาด และเพิ่มความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะเข้ามาภายในประเทศ
หากเวียดนามสามารถควบคุมสถานการณ์นี้ได้ดี รัฐบาลมีแผนจะเปิดทั้งประเทศภายในช่วงเดือนมิถุนายน ปี 2565
ที่ผ่านมาเวียดนามได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 รอบใหม่ ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง แต่การเปิดประเทศในครั้งนี้ เป็นสัญญาณที่ดีที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจเวียดนามให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง
📌 หุ้นเทคโนโลยีจีนพุ่งขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา รับข่าวดี Joe Biden จะนัดพบกับ Xi Jinping อีกครั้งในช่วงปลายปี ทำให้หุ้นในบริษัท Tencent พุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดดถึง 5.3% รวมไปถึงอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba ที่พุ่งขึ้นมาถึง 6.9%
นอกจากนี้บริษัทสำนักพิมพ์ชื่อดังอย่าง Charlie Munger’s Daily Journal ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของ Alibaba ถึง 83% ทำให้หุ้นเทคโนโลยีจีนหลายแห่งได้รับอานิสงส์จากเหตุการณ์นี้ไปด้วย
ทีมงาน Jitta Wealth จะอัปเดตผลการพูดคุยกันระหว่าง Biden และ Xi ในช่วงปลายปีนี้ว่า 2 ประเทศมหาอำนาจจะสามารถหาทางออกเกี่ยวกับสงครามการค้าและหาทางร่วมมือกันได้หรือไม่
ปัจจุบันการแข่งขันของทั้ง 2 ประเทศมหาอำนาจมีอย่างต่อเนื่อง และประเด็นที่รัฐบาลจีนแทรกแซงบริษัทเทคโนโลยีในประเทศ ยังส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นมาก หากปมเหล่านี้ มีทางออกที่ดีได้ เราจะได้เห็นการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจเทคโนโลยีจีน
📌 อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และ AI ทั่วโลกคาดว่า จะเติบโตสูงถึง 21,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2569 ขยายตัว 25.4% ต่อปี ปัจจุบันหลายธุรกิจเล็งเห็นถึงศักยภาพอันทรงพลังของหุ่นยนต์และ AI ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลผลิตสูง ประหยัดเวลามากขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น และเพิ่มศักยภาพของแรงงานคนได้ด้วย
คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และ AI ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดจะเติบโตขึ้นมาที่ 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564 นี้ ในขณะที่จีนจะเติบโตขึ้นมาที่ 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2569
หุ่นยนต์และ AI เป็น 1 ในเมกะเทรนด์ที่มาแรง คาดว่า เราจะได้เห็นอุตสาหกรรมนี้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในอนาคต และกลายเป็นเทคโนโลยีที่ทุกคนใช้กันทั่วไป หากมองกันยาวๆ สามารถลงทุนรอบรับเทรนด์การเติบโตได้
📌 Amazon ได้ออกมาเรียกร้องให้วุฒิสภาสหรัฐฯ ปลดล็อกกัญชาถูกกฎหมาย เนื่องจากการทดสอบสารเสพติดก่อนจ้างงาน ทำให้บริษัทประสบปัญหาในการขยายกำลังคนอย่างยากลำบากมากขึ้น เพราะผู้สมัครหลายคนเกี่ยวข้องกับการใช้กัญชา
Amazon มองว่า หากยกเลิกการทดสอบสารกัญชาก่อนสมัครงาน จะช่วยให้หลายบริษัทสามารถขยายกำลังการจ้างงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในตอนนี้สหรัฐฯ กำลังประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน จากการหยุดชะงักช่วงการแพร่ระบาดของ Covid-19
การเรียกร้องของ Amazon จะเกิดแรงกระเพื่อมในอุตสาหกรรมกัญชามากขึ้น หากสหรัฐฯ ปลดล็อกให้กัญชาถูกกฎหมายในระดับประเทศ จะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และจะทำให้อุตสาหกรรมกัญชาเติบโตขึ้นได้ในอนาคต
นี่คือ สรุปข่าวสารในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ทีมงาน Jitta Wealth รวบรวมมาอัปเดตในคุณ รวมทั้งตอบข้อสงสัยในประเด็นที่คุณอาจจะกังวลว่า จะมีผลกระทบต่อพอร์ตลงทุนของ Jitta Wealth หรือไม่
เรามีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับการลงทุนระยะยาวว่า ในเมื่อไม่สามารถคาดการณ์เหตุการณ์อะไรได้ การเลือกลงทุนสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ กระจายความเสี่ยงได้ดี และหมั่นเพิ่มทุนอย่างสม่ำเสมอ จะพาพอร์ตคุณแข็งแกร่งต่อความผันผวนได้
แล้วพบกันสัปดาห์หน้า
Jitta Wealth Journal – หุ้นวัคซีนดิ่งลง กระทบธีมเฮลท์แคร์หรือไม่