ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อในโลกของการลงทุน การ ‘จัดสรรสินทรัพย์’ หรือ Asset Allocation เป็นหลักการหนึ่งที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม
ย่างเข้าปี 2564 ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกายังคงมีทิศทางสดใส นักลงทุนต่างคาดหวังว่า การลงทุนในหุ้นจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี หลังจากที่ Joe Biden เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ
แต่ใครจะรู้ว่า พอเข้าเดือนก.พ. แค่ประเด็นเรื่อง อัตราผลตอบแทนจากการถือครองพันธบัตร (Bond Yield) พุ่งสูงสุดในรอบ 1 ปี ก็ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีทิศทางขาลงในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาได้
เพราะเมื่อ Biden เตรียมอัดฉีดเงินถึงมือประชาชนผ่านมาตรการ Covid Relief Plan กระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ความกังวลภาวะเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นก็ตามมาอีก ส่งผลให้ Bond Yield พุ่ง
ประกอบกับตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ ของสหรัฐฯ มีทิศทางดีขึ้น สะท้อนสัญญาณการฟื้นตัวหลัง Covid-19 ที่ชัดเจน แน่นอนว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ไม่มีความจำเป็นต้องกำหนดดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำอีกต่อไป
นักลงทุนก็กังวลว่า ดอกเบี้ยการกู้เงินจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนสูงขึ้น ที่ตามมาคือ กำไรบริษัทปีนี้ก็มีแนวโน้มลดลง [1]
ก่อนหน้านี้ที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งไม่หยุด จึงเป็นจังหวะที่นักลงทุนขายทำกำไรออกมา แม้กระทั่งหุ้น Tesla น้องใหม่ของดัชนี S&P500 ที่ทำนิวไฮเมื่อปีที่แล้ว ยังลดฮวบฮาบจาก Market Cap สูงถึง 800,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 679,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ [2]
นี่คือตัวอย่างความผันผวนล่าสุด ที่สร้างความหวั่นใจให้นักลงทุนในหุ้น โดยเฉพาะ ‘หุ้นเทคโนโลยี’ และ ‘หุ้นเติบโต’ ที่มีราคาพุ่งแรงในช่วงปีที่ผ่านมา รวมไปถึง ETF ที่ลงทุนในหุ้นเหล่านี้ด้วย
แต่มันก็เป็นความผันผวนระยะสั้นเท่านั้น เพราะล่าสุดเฟดก็ประกาศออกมาแล้วว่า จะใช้ดอกเบี้ยนโยบายต่ำใกล้ 0% ไปจนถึงปี 2566 และคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฟื้นตัวปี 2564 ด้วยอัตราการเติบโต 6.5% สูงสุดในรอบ 40 ปี ส่วนภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้นเพียง 2.4% ไม่ส่งผลต่อการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย สัญญาณเหล่านี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะรีบาวด์ได้อีกครั้ง [3]
ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เมื่อเห็นพอร์ตลงทุนมีมูลค่าลดลง สิ่งที่ควรพิจารณาต่อคือ นี่เป็นความเสี่ยงที่คุณรับได้ไหม ยังเชื่อมั่นใจกิจการที่ลงทุนอยู่หรือไม่
ถ้ารู้ตัวว่า รับความเสี่ยงได้ไม่มากนัก พอร์ตลงทุนที่กระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ อาจจะเป็นคำตอบให้คุณ
Jitta Wealth มีบริการกองทุนส่วนบุคคล Global ETF เป็นอีก 1 ทางเลือก ที่ให้คุณลงทุนอย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลกับการเหวี่ยงตัวแรงของพอร์ต เพราะจัดพอร์ตลงทุนในทั้งตราสารหนี้และหุ้นจากทุกมุมโลก ผ่าน ETF (Exchange Traded Fund) ตัวท็อปบนกระดาน NYSE ได้แก่
ตราสารหนี้
1. พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้บริษัทสหรัฐฯ iShares Core U.S. Aggregate Bond ETF (AGG) มูลค่า AUM 84,387 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
2. หุ้นกู้บริษัทสหรัฐฯ iShares iBoxx $ Investment Grade Corporate Bond ETF (LQD) มูลค่า AUM 44,367 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ตราสารทุน
1. หุ้นสหรัฐฯ Vanguard Total Stock Market ETF (VTI) มูลค่า AUM 1,100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
2. หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว (ยกเว้นสหรัฐฯ) Vanguard FTSE Developed Markets ETF (VEA) มูลค่า AUM 142,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
3. หุ้นประเทศเกิดใหม่ Vanguard FTSE Emerging Markets ETF (VWO) มูลค่า AUM 108,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
Jitta Wealth นำ 5 ETF มาจัดพอร์ตลงทุนตามทฤษฎี Modern Portfolio Theory ของ Harry Markowitz นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน เจ้าของรางวัลโนเบล มีหลักการคือ ลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทที่ไม่มีความสัมพันธ์กัน เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์ใดๆ ก็ตาม มูลค่าสินทรัพย์บางตัวอาจจะลดลง ขณะที่สินทรัพย์อีกประเภทมีมูลค่าเพิ่มขึ้น [4]
แนวทางนี้จะช่วยประคองพอร์ตลงทุนไม่ขาดทุนหนักๆ และลดความผันผวนของผลตอบแทนได้ ดังนั้นสิ่งที่ได้จากการจัดพอร์ตลงทุนตามทฤษฎี Modern Portfolio Theory มาเป็น Global ETF คือ นักลงทุนจะไม่กังวล ไม่ว่าจะเผชิญความเสี่ยงใดๆ ก็ตาม และพอร์ตลงทุนสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
จุดเด่นของกองทุนส่วนบุคคล Global ETF คือ
1. เลือกแผนการลงทุนตาม ‘ความเสี่ยงที่รับได้’ และ ‘ผลตอบแทนที่พึงพอใจ’ - พอเพียง (4% ต่อปี) สมดุล (6% ต่อปี) และเติบโต (8% ต่อปี)
2. กระจายความเสี่ยงลงทุนทั้ง ‘ตราสารหนี้’ และ ‘ตราสารทุน’ จากทุกมุมโลกใน ETF ที่มั่นคงและมีสภาพคล่องสูง
3. เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 100,000 บาท เพิ่มทุนครั้งละ 10,000 บาท สามารถลงทุนแบบ DCA (Dollar Cost Average) เพื่อเฉลี่ยต้นทุนในทุกช่วงเวลา
4. ปรับพอร์ตลงทุนอัตโนมัติเมื่อสัดส่วนสินทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่า 5% เพื่อรักษาวินัยการลงทุน และได้ผลตอบแทนที่คาดหวัง
เอาเข้าจริงๆ นักลงทุนไม่ชอบความเสี่ยง ถ้าจำเป็นต้องเสี่ยง ผลตอบแทนที่ได้รับควรคุ้มค่ากับเสี่ยงนั้น จะเห็นได้ว่า Global ETF ได้สะท้อนระดับเสี่ยงและผลตอบแทนให้นักลงทุนเห็นอย่างชัดเจน
ทั้ง 3 แผนการลงทุน พอเพียง สมดุล และเติบโต ได้กำหนดความเสี่ยง สัดส่วนการลงทุน และผลตอบแทนที่คาดหวังมาให้แล้ว จากข้อมูลการทดสอบ Back Test ย้อนหลัง 10 ปี จะเห็นได้ว่า เมื่อคุณลงทุนระยะยาว ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่เกิดขึ้นจะใกล้เคียงกับผลตอบแทนที่คาดหวังไว้
เมื่อคุณได้วางเป้าหมายและเห็นปลายทางจากการลงทุนแล้ว คุณจะรู้สึกสบายใจและมั่นใจในพอร์ตลงทุนของคุณเอง
ลองอ่านข้อมูลจัดพอร์ตลงทุน Global ETF ได้ที่ https://jittawealth.com/global-etf
1. ทำความรู้จัก Bond Yield ผลตอบแทนพันธบัตร เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นอย่างไร https://thestandard.co/bond-yield-2/
2. Tesla is in a bubble and it’s ‘going down,’ top fund manager says https://www.cnbc.com/2021/03/17/tesla-in-a-bubble-and-its-going-down-fund-manager-says.html
3. Fed expects growth surge, inflation jump in 2021 but no rate hike https://www.reuters.com/article/us-usa-fed/fed-sees-growth-surge-jump-in-inflation-in-2021-but-no-change-on-rates-idUSKBN2B90KE
4. ทฤษฎีรางวัลโนเบลเบื้องหลังกองทุน Global ETF https://jittawealth.com/global-etf/modernportfoliotheory