Jitta Wealth Journal ฉบับที่ 19 ประจำวันที่ 30 มี.ค. มีประเด็นข่าวที่น่าติดตามและมีผลกระทบต่อการลงทุนทั้งในหุ้นไทยและต่างประเทศ ดังนี้
- ก.ล.ต. สหรัฐฯ เตรียมถอดหุ้นจีนออกจากตลาด
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขานรับเศรษฐกิจฟื้น
- ฉีดวัคซีน Covid-19 ลดเวลากักตัวเหลือ 7 วัน
- 3 กอง ETF ของ Vanguard ที่ควรถือระยะยาว
Jitta Wealth มีธีมใหม่ของ Thematic ธีมที่ 14 Travel Tech ทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่สนใจโอกาสเติบโตในธุรกิจท่องเที่ยว หลังจากที่วัคซีนกระจายไปทั่วโลก จำนวนผู้ป่วยใหม่ลดลง ทุกประเทศเตรียมเปิดพรมแดน
นอกจากนี้ยังมีมุมมองดีๆ จากหุ้น Travel Tech ยักษ์ใหญ่ระดับโลก ที่ต่างมีภาพเชิงบวกเหมือนกันว่า การท่องเที่ยวปี 2564 จะกลับมาอย่างแน่นอน และรีวิว ETF ธีม Travel Tech จากเพจลงทุนแมน
หากใครที่ยังไม่มั่นใจว่า เข้าลงทุนตอนนี้ดีไหม ทำไมไม่จับจังหวะตลาด ตลาดผันผวนทำอย่างไร ลองอ่าน 3 บทความที่ทีมงาน Jitta Wealth สรุปมาให้
ไปติดตามกันได้เลย
มีความคืบหน้าตลอด สำหรับแผนการถอดหุ้นจีนออกจากกระดาน NYSE และ Nasdaq โดยก.ล.ต. สหรัฐฯ ออกกฎที่เข้มงวดมากขึ้น ทั้งมาตรฐานทางบัญชีและตรวจสอบว่า มีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีนหรือไม่
แน่นอนว่า ประเด็นนี้มีความเกี่ยวเนื่องมาจากสงครามการค้าระหว่าง 2 มหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน มาตรการกีดกันทางการค้าต่างๆ และการขึ้นบัญชีดำบริษัทจีนจากกองทัพสหรัฐฯ
แม้ว่า ตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ จะเปลี่ยนมือไปแล้ว แต่ความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ และจีน ยังคงอึมครึม เพราะไม่สามารถเจรจาหาทางออกร่วมกันได้
กฎใหม่ของก.ล.ต. สหรัฐฯ ที่กำหนดให้ บริษัทต่างชาติต้องส่งเอกสาร เพื่อยืนยันว่าไม่ได้มีรัฐบาลเป็นเจ้าของหรือควบคุมการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งเปิดเผยรายชื่อสมาชิกรัฐบาลที่เกี่ยวข้องด้วย
กฎใหม่นี้กำลังกระทบหุ้นจีนที่เทรดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ บางตัวก็เทรด 2 ตลาดควบคู่กัน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นจีนหรือฮ่องกง ส่งผลให้ราคาหุ้นจีนปรับฐานมาหลายสัปดาห์ นับตั้งแต่ช่วงตรุษจีน
หากบริษัทเหล่านี้ ไม่ปฏิบัติตามกฎให้ได้ภายใน 3 ปี ก.ล.ต. สหรัฐฯ สามารถเพิกถอนหุ้นออกจากตลาดหุ้นได้เลย
ไม่เพียงเท่านั้น หลายบริษัทจีนที่เทรดอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เป็นบิ๊กเทคจีน ซึ่งก.ล.ต. จีนยังคงพุ่งเป้าตรวจสอบ ‘อำนาจเหนือตลาด’ ของหุ้นเทคโนโลยีจีนด้วย
ในเดือนพ.ย. ก.ล.ต. จีน ได้เบรกแผน IPO ของ Ant Group ฟินเทคบริษัทลูกของ Alibaba หัวทิ่ม สร้างความตกตะลึงให้กับนักลงทุนทั่วโลก เพราะจะเป็น IPO ที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์
ตั้งแต่นั้นมา รัฐบาลจีนได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับราคาหุ้นเทคจีนที่สูงเกินจริงและภาระหนี้ที่มากเกินไปในภาคการเงิน
ที่ผ่านมาทางการจีนได้สั่งปรับ Tencent Baidu และ Didi Chuxing ที่ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดของจีน โดยบอกว่าเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคจีน
ประเด็นกฎหมายกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนสัญชาติจีนยังคงต้องจับตาดูว่า ทั้งก.ล.ต. สหรัฐฯ และจีน จะมีท่าทีอย่างไรต่อไป ในระยะสั้นๆ นี้ ข่าวสารต่างๆ มีผลต่อราคาหุ้นกลุ่มนี้ไม่มากก็น้อย
S&P 500 และ DJIA ปรับขึ้นปิดท้ายสัปดาห์ที่แล้ว ด้วยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี สุขภาพและการเงิน เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนมีการปรับพอร์ตลงทุนสำหรับไตรมาสแรกของปี 2563 ที่กำลังจะสิ้นสุดลง โดยมีการเข้าลงทุนหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากวงรอบขาขึ้นของเศรษฐกิจ แต่ยังคงเข้าลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่ราคาปรับฐานลงมา
ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq ที่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคโนโลยี เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเมื่อเทียบกับช่วงต้นเดือน Nasdaq ปรับลดลง 2 สัปดาห์ติดต่อกัน
นักลงทุนลดน้ำหนักการลงทุนใน Tesla และ Alphabet (Google) แต่ให้น้ำหนักกับ Microsoft และ Facebook ซึ่งจะช่วยดันดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ให้สูงขึ้นได้
ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ ของปี 2564 อยู่ที่ 6.5% จากเดิม 4.2% แต่กูรูเศรษฐศาสตร์ มองว่า จีดีพีที่เติบโตเร็ว จะกระตุ้นให้เกิดความกังวลว่า เศรษฐกิจจะร้อนแรงเกินไปและบังคับให้เฟดขึ้นดอกเบี้ย
แม้เฟดให้คำยืนยันว่า จะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยไปอีก 3 ปี แต่ความกังวลภาวะเงินเฟ้อก็ยังคงอยู่ สัปดาห์ที่ผ่านมา ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีของสหรัฐฯ อยู่ที่ 1.66% ลดลงจาก 1.75% จากสัปดาห์ก่อนหน้า
ช่วงปิดไตรมาสจะเป็นช่วงเวลา Window Dressing ที่กองทุนและนักลงทุนสถาบันจะเข้าซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก เพื่อจัดพอร์ตลงทุนใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางดัชนีตลาดหุ้นเช่นกัน
ในหลายๆ สัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนต้องเผชิญกับความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลก ยิ่งราคาหุ้นเทคโนโลยีระดับโลกปรับตัวลดลง ส่งผลต่อความเชื่อมั่นว่า หุ้นกลุ่มนี้ยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่
สิ่งหนึ่งที่เราควรพิจารณาอันดับแรกคือ หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ขณะเดียวกันก็สามารถให้ผลตอบแทนสูงด้วย เรียกว่า High Risk High Return
ที่ผ่านมาหุ้นเทคโนโลยีราคาไต่ไปสูงมาพอสมควรแล้ว การที่นักลงทุนสถาบันหรือกองทุนจะขายทำกำไรบ้าง ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ขณะเดียวกันเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังจะฟื้นตัว หลังจากซบเซาจาก Covid-19 มานานเป็นปี หุ้นธุรกิจดั้งเดิมก็กำลังเป็นขาขึ้นตามวัฏจักรเศรษฐกิจ
นี่คือ เหตุผลที่ Jitta Wealth ไม่ได้โฟกัสเรื่อง ‘การจับหวะลงทุน’ เพราะไม่มีใครคาดการณ์อนาคตได้ ไม่มีใครเดาได้ว่า สหรัฐฯ จะมีนโยบายหรือกฎอะไรออกมา ย้อนไปเมื่อต้นปีที่แล้ว ก็ไม่มีใครคิดว่า Covid-19 จะเป็นโรคระบาดครั้งประวัติศาสตร์
แต่สิ่งที่นักลงทุนควบคุมได้คือ เลือกสินทรัพย์คุณภาพดี ที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาว กระจายความเสี่ยงอย่างเหมาสม และหมั่นลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ ‘แนวทางการลงทุนของ Jitta Wealth’ ลองอ่านดู
ตลาดการเงินผันผวน ควรรับมืออย่างไร?
สถานการณ์ตลาดจะเป็นอย่างไรต่อไป ควรลงทุนเลย หรือรอก่อนดี?
เศรษฐกิจไทยกำลังจะฟื้นตัว ถึงเวลาลงทุน ‘หุ้นไทย’ หรือยัง?
รับส่วนลดค่าธรรมเนียม 100 บาท
เมื่อโอนเงินลงทุนครั้งแรกหรือเพิ่มทุน ทุกๆ 100,000 บาท
ค่าธรรมเนียมยิ่งลด ผลตอบแทนยิ่งโต
ถึง 31 มี.ค. 64 เท่านั้น
วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา คุณตราวุทธิ์ได้มีโอกาส Live สดกับโค้ชเคลลี่ จาก Kelly VI Coach พูดถึงโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศในยุคนี้ มือใหม่จะลงทุนได้ไหม หรือ มีวิธีการลงทุนอย่างไร ที่ประหยัดค่าธรรมเนียม และได้ผลตอบแทนดี
ชัดเจนแล้วว่า ไทยจะลดเวลากักตัวจาก 14 วัน เหลือ 10 วันสำหรับคนไทยและต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศตั้งแต่ 1 เม.ย. เป็นต้นไป แต่ใครที่ได้รับวัคซีน Covid-19 ครบโดส จะกักตัวที่ Area Quarantine เหลือ 7 วัน
แต่มีอีกบุคคลที่มาจาก 10 ประเทศยังต้องกักตัวนาน 14 วัน ทั้งหมดอยู่ในทวีปแอฟริกา เช่น แอฟริกาใต้ ซิมบับเว โมซัมบิก บอตสวานา แซมเบีย เคนยา รวันดา แคมารูน คองโก และกานา เพราะมีประเด็นเรื่องไวรัสกลายพันธุ์
รัฐบาลไทยกำลังมีแผนเปิดประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเน้นไปที่ 6 จังหวัดท่องเที่ยวใหญ่ ได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย) ชลบุรี (พัทยา) และเชียงใหม่
สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนแล้ว สามารถไปเข้า 6 จังหวัดนี้ได้ในเดือนเม.ย.-มิ.ย. โดยกักตัวแค่ 7 วัน
ตั้งแต่เดือนก.ค.-ก.ย. นักท่องเที่ยวที่ได้รับวัคซีนแล้ว ไม่ต้องกักตัว หากไปเที่ยวภูเก็ต อยู่ภายใต้แผนนำร่อง Phuket Tourism Sandbox ทดลองก่อนเปิดพรมแดนทั้งประเทศ 1 ต.ค. นี้
เรียกได้ว่าเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ให้ภูเก็ต หลังจากที่ไทยปิดพรมแดนมานานกว่า 1 ปี จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเคยมี 70,000-80,000 คนต่อวัน เหลือเป็นศูนย์ หวังจะพึ่งคนไทยเที่ยวกันเอง ก็มากันเพียง 10,000 ต่อวันเท่านั้น
ผู้ประกอบการท่องเที่ยวภูเก็ตหวังว่า หลังจากเปิดจังหวัดแบบไม่ต้องกักตัว น่าจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในจังหวัดสูงถึง 84,000 ล้านบาท
แต่สิ่งที่ต้องวางแผนให้รัดกุม คือ คนในพื้นที่ภูเก็ต จะต้องได้รับวัคซีนป้องกัน Covid-19 ให้ทั่วถึงด้วย
คว้าโอกาสก่อนหุ้นท่องเที่ยววิ่งไกล ลงทุนหุ้นเทคโนโลยีท่องเที่ยววันนี้ ต้อนรับการฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวหลังทั่วโลกเปิดประเทศ นักท่องเที่ยวกรูกันเดินทางระบายความอัดอั้น และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลับมาผงาดเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกครั้ง
Thematic เป็นกองทุนหนึ่งเดียวในไทย ที่ให้คุณลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีการท่องเที่ยวทั่วโลก เช่น Airbnb Booking Uber และ Expedia ผ่าน ETFMG Travel Tech ETF (AWAY)
ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 60.2%* (ณ 1 มี.ค. 2564)
ถ้าคุณอยากลงทุนตั้งแต่ต้นเทรนด์ นี่คือโอกาสที่พลาดไม่ได้เลย!
หรือแมสเสจหาเราเพื่อสอบถามทางเฟสบุ๊ก และไลน์ @JittaWealth
ไม่มีใครไม่รู้จัก Trivago Expedia Airbnb Uber และ Tripadvisor หุ้น 5 ตัวนี้อยู่ในพอร์ตลงทุนของ AWAY เป็น ETF ธีม Travel Tech ลองมาดูว่า แต่ละบริษัทมีความคาดหวังต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวหลัง Covid-19 อย่างไรบ้าง
หลายคนกำลังโหยหา ‘การท่องเที่ยว’ แน่นอนว่า เมื่อพรมแดนทั่วโลกเปิด นักท่องเที่ยวต้องพึ่งพาใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อวางแผนทริป จองที่พัก และจองตัวเครื่องบิน นี่คือ โอกาสที่คุณจะลงทุนใน AWAY ก่อนที่ Covid-19 คลี่คลาย
การลงทุน ‘หุ้นรายตัว’ นักลงทุนต้องเผชิญกับความผันผวนที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้น 2-3 วัน ไปจนถึงลากยาวเป็น 2-3 สัปดาห์ หากคุณไม่สามารถรับความเสี่ยงเหล่านี้ การลงทุนใน ETF (Exchange Traded Fund) เป็นอีกทางเลือก
ETF คือ กองทุนที่กระจายความเสี่ยงลงทุนในหุ้นหลายสิบหลายร้อยตัว หากเป็นตราสารหนี้ ก็ลงทุนในบอนด์นับร้อยนับพันรายการ
ดังนั้นคุณจะสามารถจำกัดความเสี่ยงได้ หากลงทุนใน ETF เพราะไม่ต้องลงเงินก้อนใหญ่ไปกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง นอกจากนี้ก็ไม่ต้องคอยเฝ้าพอร์ตลงทุน เพียงแค่ลงทุนอย่างสม่ำเสมอและถือ ETF ให้นาน เพื่อที่คุณจะได้รับผลตอบแทนอย่างยั่งยืน
York News-Times ได้แนะนำ 3 กอง ETF ที่ควรลงทุนระยะยาว จาก Vanguard ผู้ออกกอง ETF รายใหญ่ของสหรัฐฯ ปัจจุบันบริหาร AUM (Asset Under Management) เฉพาะ ETF มูลค่าสูงถึง 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
1. Vanguard S&P 500 ETF (VOO) ลงทุนหุ้นสหรัฐฯ 500 ตัวที่ถูกคำนวณเข้าดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นหุ้นมาร์เก็ตแคปใหญ่
2. Vanguard Total Stock Market ETF (VTI) ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ทั้งมาร์เก็ตแคปใหญ่ กลาง และเล็ก เป็นการกระจายความเสี่ยงทั้งตลาด เพราะหุ้นขนาดกลางและเล็กหลายตัวสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาด แต่ราคาจะมีความผันผวนมากกว่าลงทุนหุ้นขนาดใหญ่เพียงกลุ่มเดียว
3. Vanguard Growth ETF (VUG) ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ขนาดใหญ่และมีโอกาสเติบโตมากกว่า 250 ตัว ซึ่งจะมีความเสี่ยงมากกว่า VOO กับ VTI แต่ก็จะให้ผลตอบแทนสูงกว่า
VTI เป็น 1 ใน 5 กอง ETF ที่นำมาจัดพอร์ตลงทุน Global ETF ตามหลัก Modern Portfolio Theory (MPT) รวมกับ ETF กองอื่นๆ ของ iShares และ Vanguard
แนวคิด MPT ได้รับรางวัลโนเบล ซึ่งเป็นหลักการจัดพอร์ตลงทุนโดยยึด ‘การกระจายความเสี่ยง’ และ ‘การจัดสรรสินทรัพย์’ เพื่อให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดี ในความเสี่ยงที่รับได้
Global ETF มีเลือกให้ลงทุน 3 แผน ตามความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เหมาะสม เลือกได้ตั้งแต่เสี่ยงน้อย (4% ต่อปี) เสี่ยงปานกลาง (6% ต่อปี) และเสี่ยงสูง (8% ต่อปี)
หากมีการลงทุนอย่างสม่ำเสมอและนานมากกว่า 3-5 ปี คุณสามารถสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนได้ อ่านข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาหมุนเร็วมาก เรากำลังจะจบไตรมาสแรกของปี 2564 แล้ว และครบรอบ 1 ปีที่ Covid-19 ระบาดทั่วโลก ตลาดหุ้นเคยดิ่งอย่างรุนแรง จำกันได้ไหม
ถ้าใครที่ลงทุนในช่วงวิกฤตพอดี ก็จะเห็นพอร์ตลงทุนมีผลตอบแทนเป็นบวก ตามแนวโน้มของตลาดหุ้น แต่ถ้าใครยังลังเลว่า จะเข้าลงทุนดีหรือไม่ มัวรีรอก็ทำให้คุณเสียโอกาสได้รับผลตอบแทน
โอกาสลงทุนมีตลอดเวลา ตราบใดที่สินทรัพย์มีคุณภาพดี ไม่ว่าจะเผชิญภาวะไหน ก็ยังสามารถเติบโตได้
ขอเพียงมั่นใจในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง กระจายความเสี่ยงและลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
แล้วพบกันสัปดาห์หน้า